
วานนี้ (17 มี.ค. 68) สื่อต่างประเทศ รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้สั่งการให้ส่งตัวผู้ต้องสงสัยอาชญากรรมจากเวเนซุเอลา และระหว่างประเทศฝากขังที่เรือนจำใหญ่ ไปในประเทศเอลซัลวาดอร์ แม้ศาลรัฐบาลกลางมีคำสั่งระงับการส่งตัวชั่วคราว

การส่งตัวครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้ Alien Enemies Act ปี 1798 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจประธานาธิบดีเนรเทศบุคคลที่ถือเป็น “ศัตรูต่างชาติ” ในช่วงสงคราม นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่กฎหมายนี้ถูกใช้กับผู้อพยพกลุ่มอาชญากรรม โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาคดีปกติ
ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ เจมส์ อี. โบอาสเบิร์ก ได้ออกคำสั่งให้ระงับการส่งตัวผู้ต้องสงสัยกลุ่มนี้ชั่วคราว แต่ทนายความของรัฐบาลระบุว่า ขณะนั้นมีเครื่องบิน 2 ลำที่กำลังเดินทางอยู่ โดย 1 ลำมุ่งหน้าไปเอลซัลวาดอร์ และอีกลำไปฮอนดูรัส โบอาสเบิร์กได้สั่งการด้วยวาจาให้เครื่องบินทั้งสองลำเดินทางกลับ แต่คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ถูกระบุไว้ในคำสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้เครื่องบินเดินทางถึงจุดหมายปลายทางต่อไป

ต่อมา คาโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลเพิกเฉยต่อคำสั่งศาล
“รัฐบาลไม่ได้ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งศาล คำสั่งดังกล่าวไม่มีพื้นฐานทางกฎหมาย และถูกออกหลังจากที่ผู้ก่อการร้าย TdA ถูกส่งตัวออกจากสหรัฐฯ แล้ว” (TdA หมายถึงแก๊ง Tren de Aragua)
ประธานาธิบดีเอลซัลวาดอร์ “นายิบ บูเคเล” ได้โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X ว่า “อุ๊ปส์…สายไปแล้ว” พร้อมแชร์บทความเกี่ยวกับคำสั่งของโบอาสเบิร์ก ซึ่งโพสต์ดังกล่าวได้รับการแชร์ซ้ำโดยสตีเวน จอง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของทำเนียบขาว
ขณะเดียวกัน มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้เจรจาข้อตกลงกับบูเคเล โพสต์ข้อความว่า “เราได้ส่งสมาชิกแก๊ง Tren de Aragua กว่า 250 คน ไปให้เอลซัลวาดอร์ ซึ่งยอมรับตัวไว้ในเรือนจำของประเทศ”

สำหรับการเนรเทศในครั้งนี้ สอดคล้องกับแนวทางนโยบายต่อต้านผู้อพยพอย่างเข้มงวด ซึ่งทรัมป์ใช้เป็นจุดขายในการหาเสียง ควบคุมพรมแดน ปราบปรามอาชญากรรม และลดภาระภาษีของประชาชนอเมริกัน แต่ถึงอย่างนั้น การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล อาจสร้างปัญหาทางกฎหมายในอนาคต และอาจส่งผลกระทบต่อสถานการณ์อาชญากรรมในละตินอเมริกาด้วย
ขอบคุณข้อมูล : AP News