ฟังมุมพยาบาลรัฐ! ประเด็นดราม่าพูดจาไม่ไพเราะความอัดอั้นใจที่ขอพูดบ้าง

ฟังอีกมุมความอัดอั้นใจของพยาบาลรัฐ! ประเด็นดราม่าพูดจาไม่ไพเราะ จากเพจบันทึกจากวีลแชร์

เนื้อหาจากนี้อาจยาวหลายบรรทัด แต่ขอให้อ่านอย่างตั้งใจแล้วคุณจะเข้าใจ พยาบาลรัฐมากขึ้นค่ะ!

วันที่ 21 ก.พ.68 เพจเฟซบุ๊ก บันทึกจากวีลแชร์ ของพยาบาลสาวที่เดินได้ปกติ แต่ก่อนจบเพียง 1 เดือน เธอเกิดอุบัติเหตุจนทำให้ต้องนั่งวีลแชร์ ซึ่งเธอก็ทำอาชีพพยาบาลตามความฝันมา 5-6 ปีแล้ว

เอาหล่ะ…หลังมีประเด็นดราม่าเกี่ยวกับพยาบาลพูดจาไม่เพราะ และญาติผู้ป่วยทำร้ายพยาบาล เธอได้เขียนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวไว้ดังนี้…

เห็นประเด็นดราม่ากันช่วงนี้เรื่องที่พยาบาลถูกทำร้ายร่างกาย

ที่จริงหลัก ๆ มันมี 2 ประเด็นในเรื่องนี้อยู่

1.พยาบาลถูกทำร้ายร่างกายขณะปฏิบัติหน้าที่

2.พยาบาลพูดจาไม่ไพเราะ จนทำให้เกิดเหตุข้างต้น

ล่าสุด ลุกลามดราม่าไปยังแต่ละ รพ.ที่ได้โพสต์ข้อความไม่สนับสนุนการทำร้ายร่างกายบุคลากรทางการแพทย์ ทำให้ทัวร์ลงเพจของแต่ละโรงพยาบาล เรื่องการพูดจาและการให้บริการต่อคนไข้

ในส่วนตัวเป็นพยาบาลของรัฐบาลมาก 6-7 ปี บอกได้เลยว่ามีการเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากรผู้ป่วยที่มารับบริการอย่างเห็นได้ชัดเจน

จากที่ทำงาน 8 ชั่วโมง ก็ล่วงเลยเวลาทำงานมากขึ้นทุก ๆ ปี จนตอนนี้ 12 ชั่วโมงติดก็มีมาแล้ว ซึ่งทั้งที่จริงเป็นหน่วยงานผู้ป่วยนอกด้วยซ้ำ 4 โมงเย็นก็ควรได้กลับบ้านแล้ว

แต่เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยมากขึ้น แต่จำนวนพยาบาลกลับไม่เพิ่มขึ้นเลยนั้น ทำให้พยาบาลรัฐบาลมีชั่วโมงการทำงานที่มากขึ้น

เปรียบเทียบง่าย ๆ ในอัตราส่วนผู้ป่วยตั้งแต่เริ่มทำงานมา ซึ่งเป็นข้อมูลจริงและปฏิบัติงานจริงมานั้น

จากผู้ป่วย 100-120+ คน/วัน พยาบาลประจำแผนก 5 คน เฉลี่ย พยาบาลต้องดูแลผู้ป่วย 1:20-24+คน/วัน

ปัจจุบัน ผู้ป่วย 350 – 420++ พยาบาลประจำแผนก 7 คน เฉลี่ย พยาบาลต้องดูแลผู้ป่วย 1:50-60++ คน/วัน เพิ่มมากกว่า 50 % ของภาระงานที่เราต้องทำและรับมือในแต่ละวัน

หลายคนอาจมองว่าก็แค่ 50-60 คน/วัน แค่นี้เอง แต่…..งานพยาบาลไม่ได้ง่ายเหมือนเราขายน้ำเปล่าวันละ 50-60 ขวดต่อวัน

สิ่งที่เราต้องทำแต่ละวันมันมีมากมายต่อผู้ป่วยในแต่ละคน ทำตั้งแต่การซักประวัติผู้ป่วย ประเมินผู้ป่วยแต่ละคนก่อนเข้าพบแพทย์ ผู้ป่วยพบแพทย์เสร็จออกใบนัด ทำหัตการตาม order แพทย์สั่ง หากแพทย์ให้ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลก็ต้องทำเรื่องนอนโรงพยาบาล เราทำทุกกระบวนการให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาครบถ้วนทุกขั้นตอนและเป็นอย่างดี

ทุกวันนี้งานพยาบาลถือว่าหนักขึ้นทุกวัน และพร้อมที่จะล้มเหมือนโดมิโน่ ในขณะเดียวกันตัวเจ้าของเพจเองยังคิดอยากจะลาออกหลาย ๆ ครั้ง ถ้ามีทางเลือกพอเหมือนคนอื่น ๆ คงลาออกไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนแล้วเช่นกัน เพราะมันเหนื่อยมากจริง ๆ และมันวนลูปซ้ำ ๆ บวกกับสภาพร่างกายก็ย่ำแย่ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะต้องรักษาความเป็นข้าราชการของตัวเองไว้ เพราะค่ายาที่รักษาตัวเองก็พอ ๆ กับเงินเดือนที่ได้รับมา แล้วก็เป็นคนเลือกเองเช่นกันที่จะทำงานอยู่โรงพยาบาลรัฐบาลด้วยตัวเอง

ในปี 2567 ที่ผ่านมาต้องเลี้ยงอำลาเพื่อนร่วมงานทั้งแพทย์ พยาบาล ผู้ช่วยเหลือพยาบาล ผู้ช่วยเหลือคนไข้ แทบทุกเดือนส่วนมากก็ย้ายไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนกันทั้งนั้น ซึ่งก็พูดกับเพื่อนร่วมงานที่ลาออกทุกคนที่ได้ที่ทำงานใหม่เสมอว่า “ถ้าอยู่ตรงนี้แล้วมันเหนื่อยหรือท้อ ก็ไปทำงานในส่วนที่คิดว่าสบายใจ และสบายร่างกายตัวเองเถอะ ไม่ต้องฝืนใจทนกับอะไรที่ต้องทำแล้วลำบากใจและลำบากกายหรอก” เป็นคนที่ยินดีกับเพื่อนร่วมงานทุกคนเสมอ ที่พวกเค้าเลือก และไม่คิดจะรั้งเค้าให้ทำงานโรงพยาบาลรัฐบาลเหมือนกับเรา ขนาดเราเองยังอิจฉาที่พวกเค้าเลือกทางเดินใหม่ที่ดีกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ

หลายคน ๆ มักจะพูดว่า *ถ้าเลือกจะมารักษาตัวโรงพยาบาลรัฐบาลเลือกที่จะไปรักษาตัวโรงพยาบาลเอกชนยังดีกว่า มันก็เป็นทางเลือกสำหรับคนที่มีเงินจ่ายให้กับตัวเอง ซึ่งถ้าให้ออกความคิดเห็นก็เป็นเรื่องดีต่อผู้ป่วยเอง ที่จะได้รับบริการที่รวดเร็วและทันใจต่อผู้ป่วยเอง แต่ก็จะมีหลายครั้งที่มีคนพูดว่า “ถ้ามีเงินคงไม่มีหรอกโรงพยาบาลรัฐบาล” นั่นแหละค่ะ เพราะเราต้องรับผู้ป่วยที่ไม่มีเงินมากพอที่จะไปรักษาโรงพยาบาลเอกชน รองรับผู้ป่วยบัตรทอง จากทั่วทุกพื้นที่ในประเทศของเรานี้ ทั้งนโยบายของโรงพยาบาล นโยบายของกระทรวง นโยบายของประเทศซึ่งคนออกนโยบายไม่ได้ทำงาน คนทำงานไม่ได้ออกนโยบาย จนทุกวันนี้น้อง ๆ ที่จบใหม่แทบจะไม่ค่อยมาอยู่โรงพยาบาลรัฐบาลกันแล้ว หรือมาอยู่กับเราแค่ 1-2 ปี เมื่อเก่งด้านการพยาบาลแล้วก็ย้ายไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนกันหมด น้อยคนมากที่จะอยู่โรงพยาบาลรัฐบาลเพื่อจะรอคำว่าราชการกันแล้ว เพราะมันดูเป็นความหวังเลื่อน ๆ ลอย ๆ สำหรับพวกเค้า ว่าทำงานโรงพยาบาลรัฐบาลจะได้บรรจุเป็นข้าราชทันที มีแต่คำว่าเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อีกทั้งสวัสดิการ รายได้ที่ได้ก็ใช้ว่าจะมากมายเหมือนโรงพยาบาลเอกชนที่ทั้งสวัสดิการดี รายรับก็มากพอ แถมผู้ป่วยที่ต้องเจอแต่ละวันก็ไม่ได้มากมายเหมือนโรงพยาบาลรัฐบาล

และก็เข้าใจประเด็นเรื่องการสื่อสารพูดจากับผู้ป่วยอาจจะมีคนที่พูดไม่ไพเราะ (หรือจะพูดว่าดิบ ๆ ว่าปากไม่ดีหรือปาก…) มันคือข้อครหาของโรงพยาบาลรัฐอย่างพวกเราอยู่แล้ว แต่สำหรับตัวเองนั้นตั้งแต่เป็นพยาบาลมา สาบานได้เลยว่าไม่เคยด่าหรือพูดไม่ดีกับผู้ป่วยเลย แต่ก็เคยโดนผู้ป่วยเหวี่ยงวีนใส่ ไม่พอใจใส่ก็มีแทบจะถือว่าเป็นเรื่องปกติด้วยระบบที่เป็นอยู่ ผู้ป่วยต้องรอในแต่ละขั้นตอนนานและล่าช้า อันนี้เข้าใจดีเพราะคนรอกับคนทำงานเวลามันไม่เหมือนกัน เพราะตัวเองก็เข้าใจถึงการรอเพราะก็ต้องไปเป็นผู้ป่วยโรงพยาบาลอื่นเช่นกัน รอ 5 นาทีก็นานแล้ว แต่ขณะเดียวกันที่เราเป็นผู้ปฏิบัติงาน 5 นาทีทำไมไวจัง ซึ่งการเป็นพยาบาลรัฐบาลพวกเราก็เหนื่อยใจและท้อเป็นเหมือนกัน เราก็อยากให้ผู้ป่วยได้รับบริการที่รวดเร็วทันใจและพวกเราก็อยากมีเพื่อนร่วมงานที่มากขึ้นเพื่อที่จะได้เข้าถึงและบริการผู้ป่วยที่มารับบริการได้ทันท่วงที แต่ผู้ให้บริการกับจำนวนผู้รับบริการมันไม่สอดคล้องแบบที่เราต้องการทั้งตัวผู้ป่วยเองก็ได้รับการรับบริการไม่เท่าทันใจดั้งที่คิดไว้ ส่วนพวกเราก็ต้องแบกรับงานที่มากกว่าความเป็นจริงเป็นหลายเท่าตัว พวกเราต่างทั้งเหนื่อยและก็ท้อไปตามหน้างานในทุก ๆ วัน

พวกเรามักจะโดนเปรียบเทียบกับโรงพยาบาลเอกชนเสมอ ถามว่าน้อยใจมั้ย…? แค่ความคิดเท่านั้นที่น้อยใจ แต่ตัวก็ยังเลือกที่จะปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลรัฐบาลต่อไป เพราะเชื่อว่าตนเองนั้นได้ทำหน้าที่ดีที่สุดในทุก ๆ วันแล้ว ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว และพวกเราก็มีศักดิ์และศรีเป็นพยาบาลเหมือนพยาบาลโรงพยาบาลเอกชนเช่นกัน มันต่างกันแค่คำว่ารัฐบาลกับเอกชน แต่สถาบันก็ไม่สอนให้เราแบ่งแยกเพื่อนวิชาชีพให้เกลียดกัน ถึงแม้จะอิจฉาเพื่อนที่ได้ใส่ชุดสวยกว่าเราก็แค่นั้น เห็นแบบนี้กฎระเบียบการแต่งตัวของโรงพยาบาลรัฐบาลก็แอบเยอะใช่ย่อยนะ อิจฉาเค้าไปงั้นแหละ ความเป็นจริงตื่นมาขึ้นเวรได้ในแต่ละวันก็ถือว่าดีแล้วหนอเรา

แต่ไม่ว่าการสื่อสารที่ทำให้เกิดความไม่พอใจมากแค่ไหนก็ไม่ควรที่จะมีการทำร้ายร่างกายพยาบาลหรือบุคลากรทางการแพทย์เกิดขึ้นทั้งนั้น มันเป็นการแสดงออกทางด้านอารมณ์เกินกว่าเหตุ แถมซ้ำคนที่โดนทำร้ายร่างกาย กำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อจะดูแลคนในครอบครัวของคุณ หรืออาจจะเป็นตัวคุณคนที่คุณรัก พวกเราทุ่มทั้งแรงกายและแรงใจเพื่อให้ทุกคนที่มารับบริการ ได้รับการดูแลรักษาเพื่อที่จะได้หายกลับบ้านไปหาคนที่คุณรัก ครอบครัวที่รอคุณหรือคุณที่รอคนในครอบครัว นี่คือหัวใจสำคัญที่พวกเราหวังและทำมันทุก ๆ วัน จนคนทั่ว ๆ ไปมองว่าพวกเราทำงานหามเช้ากินค่ำไปวัน ๆ ถึงแม้ยามใดที่โรคภัยเข้ามารุมเร้าพวกเรา ติดเชื้อจนไม่สบายตามเราก็ยังปฏิบัติหน้าที่ของเราต่อ ป่วยก็ทำงานต่อ “ห้ามขาด ห้ามลา ห้ามหาย ห้ามตาย“เป็นประโยคที่เราพูดเล่นกันเสมอเสมอ ล่าสุด 1-2 เดือนที่ผ่านมาแผนกเราทั้งแผนก ทั้งพยาบาล ผู้ช่วยเหลือพยาบาล ผู้ช่วยเหลือคนไข้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จากการทำงานกันเกือบทั้งแผนก แถมยังเอากลับไปติดคนที่บ้านอีก โรคที่ระบาดข้างนอกที่ทุกคนต้องเจอและเข้ามารักษาในโรงพยาบาล พวกเราก็ได้รับการติดเชื้อมากันทุกเชื้อเช่นกัน แต่พวกเราก็ยังต้องปฏิบัติงานกันต่อ เพราะการลางานและขาดเพื่อนร่วมงานไปแม้แต่คนเดียว งานของพวกเราจะโหลดมากขึ้นและเหนื่อยจากการทำงานมากขึ้นเป็นหลายเท่าตัว เมื่อก่อนหลังเลิกงานแล้วยังสามารถไปเที่ยวเล่นได้ ตอนนี้เลิกงานกลับบ้านไปหลับเป็นตาย การรับมือในการทำงานของพวกเรานั้นไม่ง่ายเอาซะเลย มีเรื่องราวและเหตุการณ์ให้เจอะเจอทุกวัน แต่ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีทุกวัน แบบถูๆไถๆกันไป เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้มารับบริการ

#ขอแสดงความนับถือพยาบาลรัฐบาลทุกท่าน

ที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองต่อ และขอให้ทุกคนสุขภาพกายแข็งแรง สุขภาพใจยังคงพร้อมและพอในการทำงาน สุขภาพจิตยังดีที่จะต่อสู้กับความคิดที่จะลาออกในแต่ละครั้ง หวังว่า แค่หวังว่าสักวันพวกเราจะไม่ต้องทำงานเกินตัวและได้รับสวัสดิการ ระบบการทำงานที่พัฒนาและดีขึ้นกว่าในทุกวันนี้ หวังว่าคนจะเพีวงพอต่อผู้รับบริการที่เข้ามารักษาในทุก ๆ วัน และขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีของทุกคนนะคะ

บันทึกจากวีลแชร์ : )

 อ่านจบแล้วก็จะเข้าใจ ใจเขาใจเรานะคะ