“เพื่อไทย – ภูมิใจไทย” อาการของคนที่หมดใจ?

“เพื่อไทย – ภูมิใจไทย” อาการของคนที่หมดใจ แต่เพราะผลประโยชน์ยังไงก็ต้องอยู่ต่อ

ตีลังกาเล่าข่าว โดย “กรรณะ”

เคยเห็นหรือไม่ที่คู่รักแม้หมดรักไปแล้วแต่ก็ยังต้องอยู่ด้วยกันเพราะมีภาระผูกพันและผลประโยชน์ที่ร้อยรัดกันไว้ ทำให้สุดท้ายก็ต้องจำใจครองคู่กันไป แม้นอกบ้านจะดูดูดดื่ม แต่ครั้นกลับเข้าบ้านทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเป็นโลกอีกใบ ทำทุกอย่างทุกทางตามใจตัวเองและไม่มีคำว่า “เพื่อกันและกันอีกต่อไป”

และจะเกิดอะไรขึ้นหากก่อนแต่งทั้งคู่ก็ไม่ได้รักกัน แต่ต้องแต่งเพราะผลประโยชน์ ก็ยิ่งจะทำให้ทุกนาทีของการอยู่ด้วยกันยิ่งขมขื่น แต่ก็ต้องอยู่

ฟังดูเป็นพล็อตละครน้ำเน่า แต่นี่คือสภาพที่เกิดขึ้นกับพรรครัฐบาลในขณะนี้ เจาะไปตรงๆ ก็คือ “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคภูมิใจไทย”

ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ทั้งคู่ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสามารถร่วมรัฐบาลกันได้ แม้จะไม่ถึงขั้นพรรค “สองลุง” แต่ตอนหาเสียงก็โจมตีกันอย่างหนัก

แต่หลังการเลือกตั้งเมื่อทั้งสองมี “ภารกิจ” ร่วมกันคือไม่ยอมให้ “ก้าวไกล” เป็นรัฐบาลไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรทำให้ทั้งสองต้องตกร่องปล่องชิ้น เพียงแต่การอยู่ด้วยกันนี้ “ภูมิใจไทย” ดูจะถือไพ่เหนือกว่า

ถ้าคนรักกันเวลาทำอะไรก็จะเอื้อเฟื้อกัน ห่วงใยใส่ใจเอื้ออาทร แต่นี่เวลา “เพื่อไทย” จะทำอะไร แล้ว “ภูมิใจไทย” ไม่อยากทำ ก็ไม่มีอาการกระมิดกระเมี้ยนแต่บอกตรงๆว่าไม่เอา ไม่เห็นด้วย ส่วน “เพื่อไทย” ก็ต้องง้องอน และยอมทำตามเพราะผลประโยชน์แห่งการอยู่ร่วมกันมันมีมากกว่า

นอกจากนี้ “ภูมิใจไทย” ยังเดินหน้าหา “พันธมิตร” เพิ่ม โดยเฉพาะกับ สว.  ที่ทำให้นาทีนี้พวกเขากลายเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสภา

ขณะที่ “เพื่อไทย” ก็จ้องหาโอกาสเอาคืน อย่างการพยายามให้ “ดีเอสไอ” ตั้งสอบการฮั้วเลือก สว.

ยิ่งนานวันยิ่งหมดรักกัน และกับล่าสุดกับกรณี “พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์”  ที่ก่อนกฎหมายจะเข้าแม้ “ภูมิใจไทย”  จะยืนยันว่าสนับสนุน แต่ก็มีข่าวปล่อยออกมาว่า“ทักษิณ ชินวัตร” ขู่พรรคร่วมว่าหากไม่สนับสนุนจะขับไล่พ้นรัฐบาล

ถึงวันนี้ชัดเจนว่าข่าวนั้นเป็นข่าวปล่อย  แต่ไม่ได้มุ่งหวังการปล่อยเพื่อให้ผ่าน แต่ปล่อยเพื่อให้กฎหมายไม่ผ่าน  สร้างแรงกดดันและเร่งเร้าให้พรรคร่วมฯ ตัดสินใจ จนที่สุด “เพื่อไทย” ก็จับอาการได้และเห็นว่าหากเดินหน้าต่อไปไม่ดีแน่ๆ  จึงยอมเลื่อนแม้ก่อนหน้านี้จะเร่งรีบขนาดไหน

แน่นอนว่ามีการตามหาว่า “ใคร” เป็นคนปล่อยข่าว?  และจำเลยหมายเลข 1 ในสายตาของพวกเขาก็คือคนของ “ภูมิใจไทย”

แถมด้วยการพูดของเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ที่มีศักดิ์เป็นลูกของ “เนวิน ชิดชอบ” ก็ประกาศกลางสภาไม่เห็นด้วยกับกาสิโน งานนี้เล่นเอาเร่าร้อนกันไปทั้งรัฐบาล เพราะก็ชัดว่าจุดยืนพรรคเป็นแบบไหน

หรือการที่ “รองแบด” ภราดร ปริศนานันทกุล โพล่งกลางที่ประชุมสภาว่าอาจไม่มีสมัยประชุมหน้าก็ทำเอาหลายคนมองว่าหรือจะถึงคราวยุบสภา

แบบนี้เขาเรียกว่าอาการของ “คนหมดใจ”

แม้จะขัดแย้งกันหนักๆแบบนี้ แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องอยู่กันไปให้สุดทาง  “ภูมิใจไทย” เห็นแบบนี้ก็ยังไม่พร้อมที่จะเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งแบบกระทันหันอันเกิดจากการยุบสภาไม่ใช่เรื่องง่าย  ทุนรอนที่ลงไปก็ยังต้องเก็บต้องหากันใหม่

จริงอยู่ที่การเลือกตั้งเป็นเรื่องปกติทางการเมือง แต่การเลือกตั้งแบบไม่คาดคิดก็ทำให้คนที่ประกอบอาชีพ “นักการเมือง” ลำบากไม่น้อย

แถมเลือกตั้งใหม่ก็ไม่มีอะไรที่การันตีว่ารอบหน้าจะได้เป็นรัฐบาล  หรือต่อให้ได้เป็นรัฐบาลก็อาจจะได้ข้อเสนอที่ไม่ได้ดีไปกว่านี้ ดังนั้นการอยู่กันไปจนสุดทางก็ย่อมจะสวยงามกว่า

เช่นเดียวกับ “เพื่อไทย”  ที่ดูแล้วอาจจะไม่อยากเลือกตั้งมากกว่า “ภูมิใจไทย” เสียอีก เพราะพวกเขารู้ดีว่า แต้มต่อของการเลือกตั้งครั้งหน้ายังไม่มี  โครงการที่เคยสัญญาไว้ก็ยังไม่มีอะไรที่สำเร็จแบบจริงๆจังๆ   ขณะที่ขาเศรษฐกิจที่หวังว่าจะทำให้ดีขึ้นก็กลับประสบปัญหาอย่างหนัก แถมยังมีเรื่อง “เอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์” ที่ถูกโจมตี

ส่วนแต้มต่อที่ว่าด้วยการกุมอำนาจราชการก็ไปอยู่ในมือของพรรคร่วมอย่าง “ภูมิใจไทย” หมดแล้ว  ก็เพราะความต้องการร่วมรัฐบาลกับคนที่ไม่รักกันแต่แรกทำให้ยอมยกตำแหน่ง รมว. มหาดไทยไปให้ ถึงนาทีนี้กว่าจะรู้ว่าไม่เหลืออะไรก็สายเกินไป

ขณะที่ภารกิจเพื่อ “ครอบครัว” ก็ยังคงไม่เสร็จสิ้น แม้จะต้องเจ็บช้ำกล้ำกลืน หรือกลืนเลือดเท่าไหร่ ก็ต้องฝืนอยู่ต่อกันให้สุดทางเช่นกัน

เรียกว่าต้องอยู่เพื่อผลประโยชน์ จะรักกันก็ไม่ได้ จะแยกกันก็ไม่ดี แต่ก็หาจังหวะทิ่มแทงกันอยู่เนืองๆ

นี่คือสภาพการเมืองก่อนสงกรานต์ ซึ่งเชื่อขนมกินได้เลยว่า หลังสงกรานต์สภาพนี้ก็ยังคงอยู่และผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างนี้ จนกว่าจะถึงวาระหรือมีใครคนใดคนหนึ่งพร้อมจากไป  แต่ก็นั่นแหละเมื่อยังมองหาอนาคตที่สดใสกว่าไม่ได้ก็ต้องไปแบบนี้เรื่อยๆ