ทำความเข้าใจ! “พิรงรอง” – “ทรู ไอดี”  อีกครั้งที่สังคมมองหลายมุม

ทำความเข้าใจ! “พิรงรอง” – “ทรู ไอดี” หลังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษาจำคุก กสทช.พิรงรอง เป็นเวลา 2 ปี และไม่รอลงอาญา

คอลัมน์ : ตีลังกาเล่าข่าว โดย “กรรณะ”

เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้มีคำพิพากษาจำคุก “ศาสตราจารย์กิตติคุณพิรงรอง รามสูต”  กรรมการ กสทช. เป็นเวลา 2 ปี และไม่รอลงอาญา

ยังดีที่ในวันนั้นศาลยังให้ “พิรงรอง” ได้รับการประกันตัว เพราะมิเช่นนั้น นอกจากจะต้องเดินเข้าคุกทันที ยังต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการ กสทช. หรือที่มีชื่อเต็มว่า “กรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ”

ทำให้สังคมตกใจพอสมควร ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะที่ผ่านมา “พิรงรอง” มีบทบาทไม่น้อยในการคุ้มครองผู้บริโภค และคดีที่เกิดขึ้นก็ทำให้เกิดกระแสว่า “พิรงรอง” กำลังถูกบริษัทยักษ์ใช้กฎหมายกลั่นแกล้ง จนเกิดกระแส #Saveพิรงรอง

และคำตัดสินที่ให้จำคุกสองปีโดยไม่รอลงอาญา ถือว่าหนักพอสมควรกับการทำงานในหน้าที่ “กสทช.”  และสังคมก็เกิดความเห็นเป็นสองทาง  ทางหนึ่งเห็นใจและมองว่า “พิรงรอง” ไม่สมควรต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้  ส่วนอีกทางมองว่า “พิรงรอง” ก็มีความผิดพลาดเช่นกันจนต้องถูกตัดสินเช่นนี้

แต่ขณะที่อีกกลุ่มก็ยืนงงในดงข่าวสาร เพราะต้องยอมรับว่าเรื่องนี้มีความซับซ้อน ทั้งเรื่องทางเทคนิค และทางกฎหมาย หากมาจับเพียงปลายทางทำให้หลายคนเกิดคำถามว่า เกิดอะไรขึ้น และตามด้วยคำถามว่า “ใครผิด ใครถูก”  วันนี้เราจะมาสรุปและไล่เรียงกัน

กำเนิดทีวีดิจิทัล ปฐมบทของเรื่องราว

เรื่องนี้เริ่มเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาช่วงที่ไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจากโทรทัศน์ระบบ “อนาล็อก” แบบเดิม  มาเป็น “ทีวีดิจิทัล” แบบปัจจุบัน

การเปลี่ยนมาเป็นทีวีดิจิทัล มีการประมูลด้วยมูลค่าที่สูงลิบลิ่ว โดยช่องความคมชัดสูงหรือ HD ถูกประมูลไปด้วยราคาสูงสุด 3,530 ล้านบาท และน้อยสุดที่ 3,320 ล้านบาท

ช่อง SD หรือความคมชัดมาตรฐานประมูลสูงสุดที่ 2,355 ล้านบาท และน้อยสุดที่ 2,200 ล้านบาท

ส่วนข่องข่าวสารสูงสุดที่ 1,338 ล้านบาท และน้อยสุดที่ 1,298 ล้านบาท

ส่วนช่องเด็กที่หลายคนมองว่าโอกาสทำกำไรน้อยมาก ยังถูกประมูลสูงสุดด้วยราคา 666 ล้านบาท และน้อยสุด 648 ล้านบาท

นี่คือต้นทุนที่ต้องจ่ายมหาศาลไม่รวมค่าลงทุนในการจัดตั้งสถานี ที่เป็นหลักพันล้าน  ท่ามกลางความคาดหวังว่านี่คืออนาคต และช่องทางทำเงิน หลายคนกลัวตกขบวน (ซึ่งเราก็ได้รู้กันในบัดนี้ว่าความหวังเหล่านั้นเป็นเช่นไร)

ถ้าความหวังเป็นแสงสว่าง ความกังวลก็คือเงาที่ต้องมาคู่กัน

คนประมูลก็ห่วงว่า คนจะดูช่องของตัวเองมากพอไหม  เพราะนาทีนั้น แพลตฟอร์มของทีวีก็ไม่ได้มีเพียงทีวีดิจิทัลเท่านั้น แต่ก็มีแพลตฟอร์มผู้ประกอบการทีวีแบบอื่นเติบโตขึ้นมาควบคู่ ไม่ว่าจะเป็น เคเบิลทีวี – ทีวีดาวเทียม และ ทีวีอินเทอร์เน็ตที่เรารู้จักกันในนาม IPTV

ทำให้ กสทช. ต้องออกกฎและระเบียบเพื่อส่งเสริมทีวีดิจิทัลที่ลงทุนประมูลด้วยเม็ดเงินมหาศาลด้วยการออกกฎที่เรียกว่า Must Carry หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ คือ ต้องเอาไปด้วย

คือผู้ประกอบการโทรทัศน์ในแพลตฟอร์มต่างๆต้องเอาสัญญาณของ “ทีวีดิจิทัล” ไปออกอากาศด้วยโดยที่ไม่มีการดัดแปลง ตัดต่อ เนื้อหา แทรกหรือถอดโฆษณาใดๆออก เรียกว่าต้องเอาไปทั้งดุ้น ห้ามเลือกและห้ามแทรก

OTT แพลตฟอร์มใหม่ ที่นอกเหนือการควบคุม

แต่ระหว่างที่หลายคนกำลังมะงุมมะงาหรา ทีวีดิจิทัลกำลังน่วมด้วยภาวะเศรษฐกิจ ทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี กำลังทยอยตายกลายเป็นธุรกิจตกยุค IPTV เป็นทางเลือกที่หลายคนใช้  แต่อีกแพลตฟอร์มที่กำลังเติบโตคือ OTT

OTT มาจากคำว่า Over The Top  คือเป็นแพลตฟอร์มที่อยู่นอกเหนือจากผู้ประกอบการโทรทัศน์  หรือที่ปัจจุบันทุกคนรู้จักกันในนาม “สตรีมมิง”  แพลตฟอร์มนี้ก็เช่น เน็ตฟลิกซ์ ยูทูป ดิสนีย์พลัส  ซึ่งแพลตฟอร์มนี้ยังไม่ถูกควบคุมด้วยกฎระเบียบของ กสทช. และมองว่าน่าจะอยู่ในความดูแลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

ซึ่งแพลตฟอร์มนี้หลายเจ้าก็เอาสัญญาณของทีวีดิจิทัลไปออกด้วย

“พิรงรอง” โดนฟ้องเรื่องอะไร

เมื่อปี 2566 มีคนร้องมายัง กสทช. ว่าพบว่า แอปพลิเคชั่น “ทรูไอดี” ได้มีการสอดแทรกโฆษณาเข้าไปในช่องรายการของทีวีดิจิทัล

หากใครเคยรับชมผ่าน “ทรูไอดี” ก็จะคุ้นว่าเมื่อเปิดเข้าไปก็จะมีโฆษณาก่อนทุกครั้ง และ บางครั้งระหว่างรายการก็จะมีโฆษณาสอดแทรก

ซึ่งนี่เองที่ผู้ร้องบอกว่า “ทรูไอดี” ทำผิดกฎ Must Carry   

และเมื่อได้รับเรื่องร้องเรียน ซึ่งเกี่ยวกับ ทีวี ทำให้อยู่ในข่ายการพิจารณาของคณะอนุกรรมการด้านกิจการโทรทัศน์ ซึ่งมี “พิรงรอง” เป็นประธาน

ซึ่งในชั้น “อนุกรรมการฯ” ก็มีการถกเถียงเรื่องสถานะของ “แอปฯทรูไอดี” ว่าเป็นผู้ประกอบการโทรทัศน์แบบ IPTV หรือ เป็น OTT กันแน่

เพราะทรูเองก็บอกว่า เขาไม่ใช่ IPTV แต่เป็นแพลตฟอร์ม OTT ซึ่งก็คือมีคอนเทนท์ของตัวเอง ดูผ่านแอปฯ ผ่านเว็บ ไม่ต้องดูผ่านกล่องก็ได้ แต่ในแอปก็มีคอนเทนท์ของทีวีดิจิทัลด้วยเช่นกัน

แต่ทางอนุฯเอง แม้จะยังไม่ชัด แต่ก็หวังจะคุ้มครองผู้บริโภค จึงออกหนังสือเตือน แต่ไม่ได้ออกหนังสือเตือนไปที่ “ทรูไอดี” ที่ถูกร้อง แต่กลับออกหนังสือแจ้งไปยัง 127 ผู้ประกอบการโทรทัศน์ให้ตรวจสอบว่า มีการนำช่องรายการที่ได้รับอนุญาตไปออกอากาศผ่านโครงข่ายใดหรือนำไปแพร่ภาพในแพลตฟอร์มใด และให้ปฏิบัติตามกฎ Must Carry

ซึ่งนี่เองที่ “ทรู ดิจิทัล” บริษัทต้นสังกัดของ “ทรูไอดี” ใช้สิทธิตามกฎหมาย ฟ้อง “พิรงรอง” ว่าผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 “เจตนาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อันเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157”

“ทรูไอดี” ยืนยันว่า ตัวเองเป็นผู้ให้บริการ OTT  ผ่านอินเทอร์เน็ตสาธารณะ ที่ไม่มีการบริหารจัดการโครงข่ายเป็นการเฉพาะ ซึ่ง กสทช. ไม่เคยกำหนดให้ ต้องขอรับใบอนุญาตจาก กสทช. จึงเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ

สองกระแสสังคมก่อนมีคำพิพากษา

กระแสก็ออกมาเป็นสองด้าน ด้านหนึ่งเห็นใจ “ทรู” เพราะการกระทำของ “พิรงรอง” ดูเป็นการเลือกปฏิบัติและทำให้เสียหาย เนื่องจากเมื่อได้รับการร้องเรียน “กสทช.” โดย “พิรงรอง” แม้ยังไม่แน่ใจว่ามีอำนาจในการกำกับ “ทรูไอดี” ที่เป็น OTT หรือไม่ จึงไม่ส่งหนังสือเตือนทาง “ทรู ไอดี” โดยตรง  แต่กลับเลือกใช้วิธีส่งหนังสือเตือนไปยังผู้ประกอบการอื่นอีก 127 แห่ง

ซึ่งนัยยะก็อาจมองได้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการบอกคนอื่นกลายๆ ว่าให้ระวังว่า “ทรู ไอดี” กำลังทำความผิด ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่มั่นใจว่ามีอำนาจหรือไม่

ส่วนอีกทางก็มองว่า เมื่อกฎหมายและการตีความยังคลุมเครือ ขณะที่ “ทรู” เองก็มีทั้งทีวีที่ดูผ่านกล่องเหมือนบริษัทอื่นเช่นกัน ดังนั้น “กสทช.” โดย “พิรงรอง” ก็ต้องเลือกคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

และมองด้วยว่า “ทรูไอดี” กำลังใช้กฎหมายเพื่อปิดปาก และฟ้องร้องเพื่อหวังปรามคนอื่น ขณะที่ “พิรงรอง” เองก็ทำงานในฐานะ “กสทช.” จึงไม่น่าที่จะต้องโดนเช่นนี้

เปิดคำพิพากษา สังคมยิ่งเถียงหนัก

จนกระทั่งศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งถือเป็นโทษที่หนัก หลายคนมองว่าเมือมีเจตนาคุ้มครองผู้บริโภคทำไมโทษถึงหนักขนาดนี้ ต่อให้ “พิรงรอง” ผิดจริงก็น่าจะมีเหตุบรรเทาโทษ

และในเวลาต่อมาศาลก็มีการเผยแพร่เอกสารข่าวสรุปผลคำพิพากษา โดยประเด็นหลักชี้ไปว่าเหตุใดโทษจึงหนักขนาดนี้

โดยในส่วนของการฟ้องว่าเลือกปฏิบัติ ศาลระบุว่า “ทรูไอดี” เป็น OTT และกสทช. ก็ไม่เคยกำหนดให้ผู้ประกอบการ OTT ต้องมาขอใบอนุญาต

และที่ประชุมของ “อนุกรรมการฯ” ก็ไม่มีข้อสรุปว่า “ทรูไอดี” ต้องขอรับใบอนุญาตจาก กสทช.  แต่มีการให้ออกหนังสือแจ้งไปยังผู้ประกอบการอื่นอีก 127 ราย

และเมื่อเจ้าหน้าที่กลั่นกรองงานให้แก่รองเลขาธิการ กสทช. ก่อนที่จะออกหนังสือ ได้สอบถามเหตุผลและความจำเป็นว่าจะต้องระบุชื่อการให้บริการ “ทรูไอดี” เป็นการเฉพาะหรือไม่ ซึ่งได้รับแจ้งว่า “พิรงรอง” เป็นผู้สั่งการและเร่งรัดให้จัดทำบันทึกและร่างหนังสือดังกล่าว และ กสทช. ได้มีหนังสือไปยังผู้ประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ รวม 127 ราย

และในการประชุม “อนุฯกรรมการ”  “พิรงรอง” ก็ได้ต่อว่าและตำหนิฝ่ายเลขานุการที่มีการจัดทำหนังสือ โดยไม่ได้ระบุหรือเจาะจงถึงการให้บริการของ “ทรูไอดี”

แต่ที่ดูเหมือนจะหนักที่สุดคือ ข้อหา “ทำเอกสารรายงานการประชุมเท็จ”  โดยศาลบอกว่า ในรายงานการประชุม ของคณะอนุกรรมการฯ  ครั้งที่ 3/2566 ไม่ได้มีมติให้สำนักงาน กสทช.จะต้องมีหนังสือแจ้งไปยังผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์โดยระบุเจาะจงถึงบริการ True ID ของโจทก์ แต่ตามบันทึกรายงานการประชุมกลับมีการระบุว่าที่ประชุมมีมติรับรองรายงานการประชุม ครั้งที่ 3/2566 และเห็นควรมีหนังสือแจ้งผู้ให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ ทั้งที่ในความเป็นจริงการประชุมคณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 4/2566 ไม่ได้มีมติดังกล่าวแต่อย่างใด อันเป็นการทำเอกสารรายงานการประชุมอันเป็นเท็จ

เมื่อนำมาผสมกับ การเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะเมื่อมีรายงานการประชุมว่า “พิรงรอง”ใช้ถ้อยคำทำนองพยายามโน้มน้าวและรวบรัดการพิจารณา อีกทั้งก่อนจบการประชุม “พิรงรอง” ใช้คำพูดว่า “ต้องเตรียมตัวจะ จะล้มยักษ์” และก็ยอมรับว่า คำว่า “ยักษ์” หมายถึง  “ทรู ดิจิทัล” ที่เป็นโจทก์ ทำให้ถ้อยคำดังกล่าวเป็นการสื่อความหมายชัดเจนว่า ประสงค์ให้กิจการของผู้ฟ้องได้รับความเสียหาย

ก่อนจะสรุปว่า “พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ เจตนามุ่งประสงค์กลั่นแกล้งโจทก์และใช้อำนาจหน้าที่ของตนไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะภายหลังจากมีหนังสือดังกล่าวแจ้งไปยังผู้ประกอบการรวม 127 รายแล้ว มีผู้ประกอบกิจการหลายรายได้ชะลอหรือขยายระยะเวลาเข้าทำนิติกรรมกับโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ส่วนพยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้”

เหล่านี้คือข้อเท็จจริงทางคำพิพากษาซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

ซึ่งกระแสสังคมเองก็ยังคงออกเป็นสองทาง แน่นอนทางแรกยัง เห็นใจ “พิรงรอง” และตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมจึงมีเรื่องเอกสารเท็จ มีการปลอมแปลงรายงานการประชุม หรือมีการบันทึกไม่หมดหรือไม่  รวมถึงคำว่า “ล้มยักษ์”  หากจะนำมาพิจารณาจริงต้องดูบริบทอื่นอีกหรือไม่

ขณะที่อีกฟากก็ตั้งคำถามว่า แม้จะมีเจตนาดีในการจะคุ้มครองผู้บริโภค แต่การกระทำทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย และเรื่องเอกสารเท็จก็เป็นเรื่องที่ “พิรงรอง” ต้องชี้แจง เพราะนี่คือ “ประเด็นหลัก” ที่ทำให้โทษของเธอไปถึงจำคุก แบบไม่รอลงอาญา

ตอนนี้ทุกคนก็รอดูคำพิพากษาฉบับเต็มว่า “พิรงรอง” สู้เรื่องเอกสารเท็จนี้ในชั้นศาลอย่างไร ซึ่งเธอก็มีสิทธิที่จะนำข้อต่อสู้มาเปิดเผย และสังคมก็จะตัดสินเช่นกันว่า ข้อกล่าวหาและข้อแก้ต่างเรื่องนี้ของเธอฟังขึ้นหรือไม่ และหากมีเหตุผลเหตุใดศาลถึงไม่รับฟัง

เรื่องนี้แม้จะชัดเจนในผล แต่ก็ยังคลุมเครือ และจะกลายเป็นบรรทัดฐานในการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐในอนาคต รวมถึงเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคด้วย.