จาก “กี้กี้”  ถึง “ที่พูดมาไม่เป็นความจริง” : ถอดรหัสวาทะเด็ด“ศึกอภิปรายฯ”

ศึกซักฟอกวันแรกเดือด! กับคำสุดพีค “กี้กี้” อ่านบทวิเคราะห์จาก “กี้กี้” ถึง “ที่พูดมาไม่เป็นความจริง” : ถอดรหัสวาทะเด็ด“ศึกอภิปรายฯ”

ตีลังกาเล่าข่าว โดย “กรรณะ”

หนึ่งในเรื่องที่หลายๆ คนติดตามในการการอภิปรายไม่ไว้วางใจคือ “วาทะ”   แม้บางคนจะมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ

แต่ในอีกมุมหนึ่งก็คือธรรมชาติของมนุษย์ในการนำเสนอความคิดผ่านคำพูด และยิ่งมีอารมณ์ร่วมเท่าไหร่ วาจาก็จะเชือดเฉือนขึ้นเท่านั้น

วาทะเป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้ตราบเท่าที่ไม่ก้าวข้ามไปสู่ความรุนแรง ดังนั้นเราลองมาดูกันว่า “วาทะ” ของการประชุมสภาฯ เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจในวันแรกมีอะไรที่เป็นที่กล่าวถึงของสังคมและเป็นวาทะสำคัญของวันแรกกันบ้าง

ต้องเกริ่นว่านี่คือการเขียน ณ ก่อนการประชุมวันแรกจะจบซึ่งยังไม่มีใครทราบว่าจะจบลงเมื่อไหร่หรือมีอะไรจะเติมเข้ามาอีกหรือไม่ แต่ที่รวบรวมมาก็ถือว่าดุเด็ดเผ็ดมันไม่น้อย

“ที่ท่านสมาชิกอาวุโสพูดสักครู่ไม่เป็นความจริง”

ต้องบอกว่าแค่เปิดหัววันก็สนุกแล้วเมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ  หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลุกขึ้นอภิปรายเป็นครั้งแรก ซึ่งเนื้อหาอาจจะไม่ดุเดือดมากนัก โดยมากก็เป็นเรื่องที่ว่าด้วยกรอบคร่าวๆ  ไม่ได้ลงลึก

แต่ความสนุกอยู่ที่เมื่อ “นายกฯอิ๊ง” ลุกขึ้นตอบด้วยตัวเองด้วยระยะเวลที่ไม่ยาวนานว่า “สำหรับสมาชิกหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐผู้อาวุโส เมื่อกี้ดิฉันได้ฟังท่านพูด และจับเวลาด้วยนาฬิกาของตัวเอง ท่านพูดประมาณ 10 นาทีและอยากจะบอกว่าที่ท่านสมาชิกอาวุโสพูดเมื่อสักครู่นี้ไม่เป็นความจริงค่ะ ขอบคุณค่ะ”

ถ้าใครไม่แป็นคอการเมืองอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่ต้องบอกว่า สองประโยคที่ซ่อนอยู่ในการตอบคำถามล้วนเป็นคำตอบที่แสนจะเจ็บแสบ

ต้องไม่ลืมว่า “พล.อ.ประวิตร” ดูจะเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของ “ทักษิณ ชินวัตร” บิดาของนายกฯ ผู้ถูกขอให้ฝ่ายค้านถอดชื่อออกจากญัตติ แม้จะร่วมรัฐประหารมากับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”  แต่อันดับความขัดแย้งกันต้องบอกว่า “บิ๊กป้อม” คืออันดับหนึ่ง ดังนั้นวาทะจากนายกฯ จึงออกมาเพื่อแสดงความไม่ไว้หน้า

ประโยคแรกคือ “ดิฉันได้ฟังท่านพูด และจับเวลาด้วยนาฬิกาของตัวเอง” ก็น่าจะพอเดากันได้ถึงกรณีนาฬิการิชาร์ดมิลล์ ที่ถูกตั้งคำถามสมัย “บิ๊กป้อม” ยังเรืองอำนาจว่าทำไมไม่แสดงบัญชีทรัพย์สิน  แต่ “บิ๊กป้อม” ก็เลือกชี้แจงง่ายๆให้ ป.ป.ช. เข้าใจง่ายๆว่า “นาฬิกาเรือนนั้นยืมเพื่อนมา”   นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า “จับเวลาด้วยนาฬิกาของตัวเอง”

อีกประโยคที่ซ่อนไว้คือ “ที่ท่านสมาชิกอาวุโสพูดเมื่อสักครู่นี้ไม่เป็นความจริงค่ะ”  นี่คือการย้อนเกล็ดจาก “หลานอิ๊ง” ถึง “ลุงป้อม”

 เพราะ “พล.อ.ประวิตร” เคยใช้คำตอบสั้นๆนี้ ตอบกับสภามาแล้วในการอภิปรายไม่ไว้วางใจสมัยที่ตัวเองดำรงตำแหน่ง รองนายกฯรัฐมนตรี

“กี้กี้”

นี่ไม่ใช่ประโยค ด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นคำที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด เมื่อ “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” หัวหมู่ทะลวงฟันของพรรคประชาชนใช้ตอบโต้คนที่ดาหน้าออกมาประท้วงเมื่อมีการพาดพิงถึง “ทักษิณ ชินวัตร” และขอให้เขาถอนคำพูดที่อ้างถึง

แต่ก่อนจะถอน “วิโรจน์” ก็มักจะเหน็บแนมว่า ถอนก็ได้ แต่ก่อนถอนขอให้ร้อง “กี้ กี้” จะได้ไหม

หลายคนอาจจะงง แต่เด็กๆ ถึงขั้นระเบิดเสียงหัวเราะ เพราะนี่คือการเหยียดหยามผ่านวัฒนธรรมซีรีส์ “ไอ้มดแดง” หรือ “คาเมนไรเดอร์” ของญี่ปุ่น

โดยองค์กรตัวร้ายของเรื่องจะมีเหล่าลิ่วล้อ ที่คอยออกมาสู้กับพวกพระเอก โดยมีหน้าที่เพียงแค่ออกมาให้พระเอกเตะต่อยและตายในไม่ช้า  ซึ่งตัวละครเหล่านี้จะเปล่งเสียง “กี้ กี้”  ทำให้ “วิโรจน์” เลือกมาเปรียบเทียบว่าคนที่ประท้วงก็มีราคาเท่ากับลิ่วล้อหางแถวอย่าพวก “กี้กี้” นั่นเอง

แต่เรื่องนี้ผู้สูงอายุที่ไม่เคยดูก็จะถึงขั้นงงว่าหมอนี่พูดถึงเรื่องอะไร ลุกลามไปถึง “ภูมิธรรม เวชชชัย” รองนายกฯ วัย 71 ปี ที่จู่ๆก็ลุกมาตอบโต้กลางดึกโดยบอกว่า ตัวเองเป็นคนสุภาพ ไม่เคยใช้คำว่า “กีกี้”ไปว่าสตรี และบอกว่าคำว่า “กีกี้” เป็นคำที่หยาบคาย หยาบโลน ทำให้หลายคนงงว่า “กี้กี้” หยาบโลนตรงไหน ซึ่งก็น่าจะเป็นข่วงวัยที่ทำให้การตีความหมายต่างกัน แต่ภูมิธรรมก็ท้าให้ไปเปิด Google ดู

“ดิฉันอายุน้อยกว่าท่าน แต่เสียภาษีมากกว่าท่าน”

นี่คือวาทะที่ “นายกฯ”  เลือกใช้ตอบโต้ฝ่ายค้าน ที่อภิปรายเรื่องการเลี่ยง “ภาษีการรับให้” โดยฝ่ายค้านกล่าวหาว่าจากการแสดงบัญชีทรัพย์สินของนายกฯ พบว่ามีการกู้ยืม 9 รายการ รวมสี่พันล้าน ซึ่งทั้งหมดเป็นการโอนหุ้นของคนในครอบครัว แต่กลับทำเป็นสัญญากู้ยืมและมีตั๋วสัญญาใช้เงิน  แทนที่จะเป็นการโอนให้

ซึ่งตามกฎหมายบอกว่าหากเป็นการโอนให้ที่เกิน 20 ล้านบาทต้องเสียภาษี 5% และยังบอกด้วยว่าเป็นต๋วสัญญาใช้เงินที่มีเงื่อนไขประหลาดคือไม่กำหนดว่าต้องใช้คืนเมื่อไหร่ จึงน่าจะเป็นนิติกรรมอำพราง

โดยนายกฯ ชี้แจงว่า เป็นการโอนหุ้นในช่วงที่เธอยังไม่พร้อมจึงทำเป็น “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” และบอกว่าปีหน้าก็จะเริ่มจ่ายคืนและคนที่มีรายได้ก็ต้องเสียภาษี ทำให้สามารถตรวจสอบได้

ก่อนที่จะกรีดด้วยวาทะที่ไม่รู้ว่าทำลายฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายตัวเอง ด้วยการบอกกับ “วิโรจน์” ว่า “แม้ดิฉันอายุน้อยกว่าท่าน แต่ดิฉันมั่นใจว่าเสียภาษีให้รัฐมากกว่าท่าน”

 ทำให้สังคมตั้งคำถามถึงนายกฯ โดยตรงว่าควรหรือไม่ที่จะมาข่มทับคนอื่นด้วยการบอกว่าใครเสียภาษีมากกว่า เพราะแต่ละคนมีรายได้ไม่เท่ากัน แต่ก็ต้องเสียภาษีเหมือนกัน

ขณะที่ “วิโรจน์” เองก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้สวนกลับแบบเจ็บๆว่า “ท่านนายกฯ จะเสียภาษีมากกว่าใคร นั่นเป็นหน้าที่ของท่าน ผมมั่นใจว่าคนไทย 60 ล้านคน หรือมากกว่านั้น เสียภาษีน้อยกว่าท่านทั้งนั้นแหละครับ ประชาชนจะเสียมากหรือน้อย ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน ตราบใดที่เสียภาษีตามกฎหมายบัญญัติ ถือว่าถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เสียภาษีมากแต่หาเทคนิคหลบเลี่ยง หนีภาษีต่างหากที่น่ารังเกียจ”

เรียกว่าสวนกันคนละหมัดแบบเลือดสาด และต้องไม่ลืมว่าหนึ่งในบาดแผลสำคัญยุครัฐบาล “ทักษิณ “คือการถูกกล่าวหาว่า “เลี่ยงภาษี”

“ผมไม่อาจจะทำให้สภานี้ตกต่ำได้”

คราวนี้คู่เดือดเปลี่ยนจากนายกฯ มาเป็นประธานสภาฯ และเป็นการตอบโต้ระหว่าง สส. รุ่นใหม่อย่า “ไอซ์ รักชนก ศรีนอก” ผู้โด่งดังจากการเปิดโปงประกันสังคม และ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานรัฐสภา   ทั้งคู่วัยห่างกัน 50 ปี

 “ไอซ์ “ วันนี้อายุเพียง 30 ปี  แต่ “วันนอร์”  อายุถึง 80 ปี

ในมุมของฝ่ายค้านตั้งแต่ช่วงเช้ามา มีความรู้สึกว่าประธานฯ วางตัวไม่เป็นกลางและเข้าข้างฝ่ายรัฐบาล และหลายทีที่ทำหน้าที่เบรกการอภิปรายของฝ่ายค้านเสียเอง

ทำให้ “ไอซ์ รักชนก”  ลุกขึ้นประท้วงและกล่าวว่า “ตั้งแต่ที่มีประชุมกันมาตั้งแต่เช้า ประธาน ได้สร้างมาตรฐานที่มันต่ำลงให้สภาแห่งนี้”

ประโยคนี้ทำให้เสือเฒ่าอย่าง “วันนอร์” เดือดจัด และสั่งตัดบทพร้อมบอกว่า  “ผมไม่อาจจะทำให้สภานี้ตกต่ำได้ เพราะผมอยู่ในสภามานาน ต้องรักษาเกียรติ ศักดิ์ศรีของสภา ผมไม่อาจยอมให้ใครมาทำลายศักดิ์ศรีสภา เพราะฉะนั้นขอให้นั่งลง”  และสั่งปิดไมค์ของ “ไอซ์ รักชนก” ในทันที เพื่อให้รู้ว่าในนาทีนั้นใครใหญ่ที่สุด

หากมองวาทะเป็นสีสัน ก็อาจจะเป็นเพียงสีสัน แต่หากดูเนื้อในที่ซ่อนอยู่ จะเห็นเนื้อหาและอารมณ์ที่ถูกส่งผ่านออกมา และเราสามารถถอดความนัยได้ว่า ในบทสนทนานั้นจริงๆต้องการสื่อถึงอะไร


“กีกี้” คือใครกันแน่? จาก อภิปรายไม่ไว้วางใจ