
ตีลังกาเล่าข่าว โดย “กรรณะ”
เรียกได้ว่าแค่เริ่มก็หักเหลี่ยมเฉือนคมกันเสียแล้ว และเป็นฝ่ายค้านที่ยอมถอยเรื่องญัตติ เพื่อให้สามารถเดินหน้าอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ โดยยอมปรับชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่อยู่ในญัตติออก เพื่อแลกกับเวลาในการอภิปราย 30 ชั่วโมง
ส่วนคำเรียกจะใช้ว่าอะไรต้องรอดู ซึ่งคาดหมายว่าจะมีหลายสรรพนาม และคำว่า “ชายคนนั้น” ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือก
แต่กว่าเรื่องราวจะเดินทางมาถึงตรงนี้บอกเลยว่าไม่ง่าย อย่างแรกที่ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันว่านี่คือการอภิปรายครั้งแรกของรัฐบาล “เพื่อไทย” นับแต่การเลือกตั้งปี 2566
นั่นเพราะแม้ก่อนหน้าจะมีนายกฯ ที่ชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” แต่ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งก็สั้นเกินไป และการอภิปรายไม่ไว้วางใจทำได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น
หลังจาก “เศรษฐา” ต้องตกเก้าอี้ก็เป็นคราวของ “นายกฯ” ที่ชื่อ “แพรทองธาร ชินวัตร” และคราวนี้ฝ่ายค้านก็ไม่ยอมปล่อยต่อไปอีกแล้ว เพราะหากปล่อยครั้งนี้ไปก็เท่ากับว่าเสียโอกาสไปอีกหนึ่งปี และจะเหลือเวลาการอภิปรายได้อีกเพียงแค่สองครั้งในสมัยของสภาชุดนี้
ซึ่งหากดูกันจริงๆ นี่เป็นการยืนคนละฝ่ายในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นครั้งแรกของ “พรรคเพื่อไทย” และพรรค “สีส้ม”

เพราะที่ผ่านมาในสมัยที่แล้วทั้งสองพรรคอยู่ในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้านและร่วมกันอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” และทำท่าจะเป็นพันธมิตรหลังการเลือกตั้ง แต่ก็เกิดการแยกทางขึ้นท่ามกลางวาทกรรมต่างๆมากมาย
ตลอดเวลาแทบไม่มีใครเชื่อว่านี่คือสองพรรคที่เคยจับมือและเห็นไปในทางเดียวกัน แต่พอยืนคนละฝั่งเท่านั้นต่างคนก็ต่างจัดเต็มด้วยกันทั้งคู่
และไม่อ้อมค้อมยิ่งขึ้นเมื่อตัวนายกฯ เปลี่ยนเป็น “แพทองธาร ชินวัตร” และมี “ทักษิณ ชินวัตร” คอยทำงานอยู่ข้างๆ แม้จะบอกว่าเป็นเพียงที่ปรึกษาส่วนตัว แต่หากใครเห็นก้าวย่างทางการเมืองก็บอกเลยว่าเกินกว่าคำว่าที่ปรึกษาไปมาก ดูๆ ไปคล้ายๆ หอคอยคู่อันตั้งตระหง่านค้ำรัฐบาล
ดังนั้นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้ง ฝ่ายค้านจึงไม่ลังเลและเลือกล็อกเป้าอภิปรายแค่ “นายกฯอุ๊งอิ๊ง” เพียงคนเดียว ไม่มี รัฐมนตรีคนอื่น หรือพรรคอื่น และไม่ลืมพ่วงชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” คล้ายเป็นการอภิปรายนายกฯ 2 คน
ขณะที่ถ้อยความในญัตติก็เขียนชัดว่า “..ยังสมัครใจยินยอมให้นายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ชี้นำ ชักใย ให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ประพฤติตนเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด โดยมีบิดาเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจ”

ฝ่ายค้านให้เหตุผลว่าที่ต้องใส่ชื่อให้ชัดเพราะหากไม่ใส่ชื่อเวลาอภิปรายก็จะโดนห้ามว่าไม่ให้เอ่ยถึงคนนอกจึงจำเป็นต้องใส่ชื่อเอาไว้ให้ชัดๆ ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมา หรือโดนประท้วงห้ามพูดถึง
ตอนแรกฝั่งรัฐบาลก็ยังลังเลๆ จะเอายังไงดี เพราะอาจจะงงว่าฝ่ายค้านกล้าตีตรงกลางขนาดนี้เลยหรือ ก็พยายามยื้อว่าให้เวลาอภิปรายแค่ 1 วันเท่านั้น และให้เหตุผลง่ายๆว่า “อภิปรายนายกฯ คนเดียวจะเอาอะไรนักหนา”
ซึ่งความเป็นจริงการอภิปรายนายกฯ รัฐมนตรีแค่คนเดียวก็คือการอภิปรายรัฐบาลทั้งคณะแล้ว เพราะนายกฯ ต้องควบคุมการบริหารงานของทุกกระทรวง แต่รัฐบาลก็พยายามเล่นแง่เพื่อปกป้องนายกฯให้มากที่สุด
จู่ๆ เหมือนเรื่องราวถูกกดหยุดเอาไว้ เพราะ “วันนอร์ – วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานสภาผู้แทนฯ ก็ออกมาบอกว่าให้ฝ่ายค้านถอนชื่อ “ทักษิณ” ออกจากญัตติ โดยให้เหตุผลว่า ตามข้อบังคับการประชุมต้องใส่ชื่อเฉพาะคนที่ถูกอภิปรายเท่านั้น
และ “ทักษิณ” เป็นคนนอกที่ไม่ได้มีสถานะรับผิดชอบโดยตรงต่อสภา และเมื่อถูกกล่าวหาก็จะไม่มีโอกาสชี้แจง

ซึ่ง “วันนอร์” บอกว่าเป็นนัยว่าหากดึงดันเขาเองนั่นแหละที่จะถูก “ทักษิณ” ฟ้องร้อง พร้อมยืนยันหนักแน่นว่าถ้าฝ่ายค้านไม่เอาชื่อออก เขาก็จะไม่บรรจุญัตติอภิปรายเข้าสู่วาระการประชุม
แปลง่ายๆว่า “ถ้าไม่ถอนก็ไม่ได้อภิปรายนั่นเอง”
เรื่องนี้เอาล่อเอาเถิดมากว่าสัปดาห์ เพราะฝ่ายค้านก็ยืนยันว่าต้องใส่ชื่อ เพราะไม่เช่นนั้นโดนรัฐบาลเล่นแง่ไม่ให้เอ่ยชื่อแน่ๆ
ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงเพราะที่ผ่านมามีการเล่นแง่มุมทางกฎหมายอ้างว่าสภาไม่เปิดโอกาสให้เอ่ยชื่อคนนอกในการอภิปราย และมีการประท้วงอยู่บ่อยครั้ง
ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วในการอภิปรายสามารถเอ่ยชื่อคนนอกได้ เพียงแต่ คนอภิปรายก็จะไม่มีเอกสิทธิคุ้มครองไม่ให้ถูกฟ้องจากคนที่อ้างถึง เพราะนัยหนึ่งคนที่อ้างถึงก็ไม่สามารถปกป้องตัวเองในสภาได้แต่ที่ผ่านๆมาเราก็เห็นว่าช่วงหลัง สภาผู้แทนฯ มักเล่นเกมนี้อยู่บ่อยครั้ง และแน่นอนว่าหากมีการเอ่ยถึงชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” และไม่อยู่ในญัตติก็จะมี “องครักษ์” ใช้ไม้นี้ลุกขึ้นประท้วงแน่นอน
ฝ่ายค้านจึงไม่ยอมถอยง่ายๆ แต่ก็มีคนออกมาเตือนว่าหากยังดึงดันกันทั้งสองฝั่งแบบนี้ไม่ดีแน่ๆ โดยเฉพาะฝ่ายค้านที่สุดท้ายแล้วจะไม่ได้อภิปรายเลย เพราะประธานฯ จะไม่ยอมบรรจุวาระ ขณะที่รัฐบาลเองก็เสียรังวัดเช่นกันเพราะจะถูกกล่าวหาว่าใช้แทคติกเพื่อไม่ยอมให้มีการอภิปรายเกิดขึ้น
เอาจริงๆคนก็อยากดูการอภิปรายฯ ครั้งนี้ไม่น้อยเพราะมาตรฐานการตรวจสอบที่วางเอาไว้ตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วจนถึงรัฐบาลนี้อย่างคอลเซ็นเตอร์ หรือ ประกันสังคมก็ชี้ให้เห็นว่าพวกเขาทำการบ้านขนาดไหน
สุดท้ายทั้งคู่ก็ตกลงกันได้ เพื่อให้การตรวจสอบเดินหน้าต่อไป ฝ่ายค้านยอมถอยถอนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ออกจากญัตติเพื่อให้สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ขณะที่รัฐบาลก็ยอมถอยโดยจะให้ฝ่ายค้านอภิปรายนายกฯคนเดียวเป็นเวลา 30 ชั่วโมง เรียกว่ารับเต็มๆแค่คนเดียวเลย
แต่ตอนนี้ปัญหาอยู่ที่ “ฝ่ายค้าน” จะใส่ “คำเรียก” อะไรลงไปแทนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”
เอาเข้าจริงไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร จะเรียก “ชายคนนั้น” หรือ “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” แต่ทุกคนก็ล้วนรู้ว่าหมายถึงใคร และใครๆก็รู้ว่าต่อให้ใช้ชื่ออะไรบรรดาองครักษ์ก็พร้อมจะดาหน้าออกมาปกป้องอย่างเต็มที่ ดีไม่ดีปกป้องมากกว่าตัวนายกฯ เสียด้วยซ้ำ