
ตีลังกาเล่าข่าว โดย “กรรณะ”
ถ้ายึดตามเกณฑ์เกษียณของประกันสังคม นาทีนี้การก่อสร้าง ถ.พระราม 2 ก็สมควรที่จะได้หยุดพักแล้ว เพราะนับตั้งแต่แรกเริ่มก่อสร้างจนถึงวันนี้ก็กินเวลากว่า 55 ปี จึงไม่เกินกว่าเหตุที่ชาวบ้านร้านตลาดจะตั้งชื่อถนนเส้นนี้ว่า “ถนนเจ็ดชั่วโคตร”
ถ.พระราม 2 เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2513 ยุคที่เรามีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ “จอมพลถนอม กิตติขจร” จนถึงนายกฯคนปัจจุบัน “อุ๊งอิ๊ง – แพทองธาร ชินวัตร”
รวมนายกฯที่อยู่ในตำแหน่งขณะก่อสร้างถนนเส้นนี้ทั้งสิ้น 20 คน ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นับตั้งแต่ปี 2513 มีทั้งสิ้น 31 คน ผ่านการปกครองบ้านเมืองทั้งเผด็จการ ประชาธิปไตยครึ่งใบ ประชาธิปไตยเต็มใบ และก็ล้วนแล้วแต่ทำได้ดูจำนวนอุบัติเหตุและการสูญเสียที่เพิ่มมากขึ้นๆ
งบประมาณรวมที่ใช้อาจไม่แน่ชัด เพราะมีหลายหน่วยงาน และหลายช่วงเวลา แต่มีการคาดการณ์ว่า งบประมาณที่ลงไป “ทำ” ถนนพระราม 2 มีมากกว่า 100,000 ล้านบาท ว่ากันว่าหากรวมงบประมาณนี่ระดับอภิมหาโปรเจคท์กันทีเดียวทั้งๆ ที่ถนนเส้นนี้ยาวแค่ 84 กิโลเมตร

คำถามคืออะไรทำให้การก่อสร้างยาวนานขนาดนั้นคำตอบง่ายๆคือ “การทำไปแก้ไป” หรือที่เรียกว่า “ขาดการวางแผน” นั่นเอง
ถนนพระราม 2 หรือที่ชื่อโครงการคือ “ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 35 สายดาวคะนอง-วังมะนาว” เริ่มจากการก่อสร้างเป็นถนน 2 เลน และเปิดใช้เมื่อปี 2516
จากกนั้นก็พบว่าเมืองเริ่มขยาย 2 ช่องการจราจรเริ่มจะไม่พอกับรถที่เพิ่มขึ้น จึงขยายออกเป็น 4 เลน พร้อมก่อสร้างทางแยกต่างระดับ 4 แห่ง ได้แก่ บางขุนเทียน สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และวังมะนาว เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัด
แต่ก็เป็นไปตามคาด ขยายแล้วก็ยังไม่พออีก เพราะการจราจรก็เพิ่มมากขึ้น จึงเกิดโครงการขยายช่องจราจรเพิ่ม เป็น 8 เลน 10 เลน และ 12 เลน และทำในช่วงต่างๆไม่พร้อมกัน ซึ่งการขยายเลนเสร็จสิ้นเมื่อปี 2564 หรือผ่านไปกว่า 50 ปี
แต่นั่นก็ไม่ใช่การจบสิ้น เพราะเราก็เห็นว่าปัจจุบันทำกันอยู่ เพราะระหว่างที่กำลังขยายช่องทางการจราจรที่ยังไม่แล้วเสร็จอยู่นั้น ก็เกิดโครงการใหม่ในปี 2560 ซึ่งเรียกว่าอันเดิมยังไม่เสร็จอันใหม่ก็ขึ้นมาแล้ว มีทั้งทางยกระดับบางขุนเทียน-มหาชัย , มอเตอร์เวย์หมายเลข 82 (บางขุนเทียน-บ้านแพ้ว), ทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกตะวันตก
ไม่แปลกที่ถนนสายนี้ 55 ปี ผ่านไปชาวบ้านจึงยังไม่เคยเห็นถนนเส้นนี้ว่างเว้นจากการก่อสร้าง
และด้วยการก่อสร้างที่ยาวนานไม่หยุดไม่หย่อน ก็ไม่แปลกที่จะมีอุบัติเหตุจากการก่อสร้างเกิดขึ้นมาตลอด แต่อุบัติเหตุจะมาหนักช่วงหลัง ที่มีการก่อสร้างแบบคู่ขนานไปกับการให้รถวิ่ง เช่นข้างล่างเปิดการจราจร ส่วนข้างบนที่สร้างทางยกระดับ ก็ทำงานไป ทำให้โอกาสที่คนสัญจรจะได้รับผลกระทบก็มีสูง เพราะเป็นอย่างที่รู้กันว่า บ้านเมืองของเราไม่ค่อยเน้นเรื่องความปลอดภัยในการก่อสร้าง

จากสถิติที่นับแต่มีการก่อสร้างแบบคู่ขนานหรือในปี 2561 เป็นต้นมา มีรายงานอุบัติเหตุจากการก่อสร้าง ประมาณ 2,242 ครั้ง เสียชีวิต 132 ราย บาดเจ็บประมาณ 1,305 ราย
และหากจับเฉพาะครั้งใหญ่ๆเมื่อปี 2567 ก็มีถึง 5 ครั้ง เริ่มต้นปี 18 มกราคม 2567 เกิดเหตุสลิงรถเครนขาด จนกระเช้าก่อสร้างตกลงมา ทำให้ คนงานเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 1 ราย
ต่อมา 14 เมษายน 2567 เกิดเหตุนั่งร้านตอม่อล้มฟาดลงบนช่องทางด่วน แม้ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บรุนแรง แต่กีดขวางการจราจรอย่างหนัก
29 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 เกิดเหตุ แผ่นเหล็กก่อสร้างทางยกระดับหล่นลงใส่รถยนต์ที่วิ่งบนถนนพระราม 2 ทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหาย แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต
14 ตุลาคม พ.ศ. 2567 เกิดสะเก็ดไฟจากการก่อสร้างสะพานยกระดับร่วงใส่รถยนต์ที่วิ่งผ่านมา ไม่มีผู้เสียชีวิต
และ 29 พฤศจิกายน 2567 เหตุคานปูนและเครนถล่มจนมีผู้เสียชีวิต 5 ราย
จนมาถึงปี 2568 แค่เดือนมีนาคมก็เกิดเหตุใหญ่ขึ้น เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา (15 มี.ค. 2568) เมื่อสะพานทางยกระดับบถล่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย และผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก โดยที่เกิดเหตุเป็นโครงสร้างทางยกระดับชั้นที่ 2 ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และเป็นส่วนต่อขยายจากสะพานทศมราชันคู่ขนานสะพานพระราม 9
แน่นอนว่าทุกครั้งหลังเกิดเหตุก็มีการถอดบทเรียน หาสาเหตุ ซึ่งหลายๆครั้งก็ถูกโยนให้เป็นภาระของ “นายสุดวิสัย” รวมการป้องกันที่สุดยอดอย่าง “ล้อมคอก” ก็ทยอยออกมา แต่ปัญหามีเพียงอย่างเดียวคือ คอกที่ว่าไม่เคยถูกล้อมจริงๆ

ถ้าลองสแกนหาสาเหตุ เราจะพบความเสี่ยงสารพัด ไม่ว่าจะเป็น การก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน การใช้แรงงานที่ไม่เหมาะสม การที่บริษัทรับเหมาไม่สามารถคุมงานได้ เพราะทำตัวเป็นเสือนอนกิน รับงานประมูลภาครัฐก่อนจะไปปล่อยให้ “ซับฯ” หรือ “จ้างช่วงต่อ” ส่วนตัวเองก็กินค่ากำไรส่วนต่าง บริษัทที่มารับงาน “ซับฯ” ก็ต้องกดราคาลงเพื่อทำให้ตัวเองเหลือกำไร
ภาครัฐหรือระดับนโยบายก็ลอยตัวเหนือปัญหา พอจะลงไปแก้หรือจัดระบบก็อ้างระเบียบ กฎหมาย อย่างกรณีการออกสมุดพกผู้รับเหมาฯ เพื่อแบล็กลิสต์ผู้รับเหมาที่ทำงานไม่ระวังจนเกิดอุบัติเหตุ จนถึงนาทีนี้ก็ยังเกิดไม่ได้ ขณะที่มีคนทยอยตายๆเพิ่มขึ้นๆ
กี่ครั้งแล้วที่ปัญหาระดับสูงกว่าอุบัติเหตุหน้างานไม่ได้รับการแก้ไขจริงๆจัง ตั้งแต่การวางแผนระยะยาว เพื่อให้การก่อสร้าง “เสร็จ” จริงๆ ไม่ใช้ ทำเพิ่มไปเรื่อยๆแบบไม่มีวันจบ การวางแผนเพื่อให้ได้ตัวผู้รับเหมาที่มีความสามารถ ไม่โหลดงาน หรือทำตัวเป็น “เอเยนต์” ปล่อยงานรัฐส่วนตัวเองนอนกินหัวคิว การกำหนดมาตรการการก่อสร้างที่เป็นมาตรฐานที่ไม่ได้ทำเพื่ออำนวยความสะดวกให้คนก่อสร้าง แต่คำนึงถึงผลกระทบทุกด้านของทุกคน
หรือการออกแบบให้ข้าราชการ นักการเมืองต้องมีความรับผิดมากไปกว่าการบอกว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ซึ่งก็เป็นไปตามแผนการก่อสร้างเดิมอยู่แล้ว
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องออกสมุดพกจริงๆ ไม่เฉพาะ “ผู้รับเหมา” แต่รวมไปถึง “ข้าราชการ–นักการเมือง” หากมีอุบัติเหตุจากการก่อสร้างโดยโครงการที่อยู่ในสังกัด ถ้าพบว่ามาจากความบกพร่องไม่ว่ากรณีไหนก็ต้องรับผิดชอบ และติดแบล็กลิสต์ ไม่ใช่ว่าพอถึงเวลาเกิดเหตุ ก็สวมหมวกนิรภัย ลงดูพื้นที่ชี้มือชี้ไม้ ก่อนที่จะกลับไปนั่งเย็นฉ่ำแบบไม่ต้องรับผิดชอบเชิงนโยบายแต่อย่างใด