
คอลัมน์ ตีลังกาเล่าข่าว โดย “กรรณะ”
มีคนเคยบอกไว้ว่า “เวทีสภา” คือเวทีเจรจา ที่ทำให้จุดยืนที่แหลมเปี๊ยบของนักการเมืองแต่ละคน ถูกเหลาให้ทู่ลง เพื่อให้ทำงานร่วมกันได้ ซึ่งการเจรจาที่ว่าก็คือการต่อรองเพื่อผลประโยชน์ที่รับได้ของทั้งสองฝั่ง นั่นเอง
การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ก็ไม่พ้นคำกล่าวที่ว่ามา แต่อาจจะเรียกได้ว่า เป็นการต่อรองและโหมโรงที่หนักที่สุดครั้งหนึ่งในเวทีสภาช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา
ทุกคนคงไม่ได้คาดหวังว่าจะเห็นการรอมชอมถ้อยทีถ้อยอาศัย เพราะแก่นและเนื้อแท้ของการอภิปรายไม่ไว้วางใจคือการที่ ฝ่ายค้านกล่าวหารัฐบาลว่าไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในตำแหน่งอย่างไร ดังนั้นฝ่ายค้านก็ต้องการเวลา และสภาพที่เอื้อที่สุดที่จะทำให้คนทั้งประเทศคล้อยตาม ขณะที่รัฐบาลเองก็ต้องพยายามชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่ฝ่ายค้านกล่าวหานั้นเลื่อนลอย
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็ถือว่าเกินความคาดหมายไปไม่น้อยเพราะกว่าจะตกลงกันได้ก็เรียกว่าแทบจะนาทีสุดท้าย ขืนเลยไปกว่านี้ก็จะไม่ได้อภิปรายกันแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าไม่ดีกับทั้งสองฝั่ง

เริ่มต้นด้วยการที่ฝ่ายค้านตีเข้ากลางขนดของรัฐบาล เลือกที่จะอภิปรายแค่ 2 คน ซึ่งหนึ่งในสอง ไม่ใช่ รัฐมนตรี แต่เป็นยิ่งกว่ารัฐมนตรี ก็คือ กล่องดวงใจอย่าง “แพทองธาร ชินวัตร” และ มันสมองตัวจริง “ทักษิณ ชินวัตร”
ด้วยความที่ “ทักษิณ” ไม่ใช่รัฐมนตรี ฝ่ายค้านจึงใช้กลยุทธ์ง่ายๆที่ไม่มีใครกล้าทำ คือใส่ชื่อ “ทักษิณ” ไปแบบโต้งๆ ในญัตติอภิปรายฯ ประมาณว่าก็ใส่ชื่อแล้วคุณจะมาห้ามผมพูดชื่อไม่ได้นะ
ไม่ใช่แค่ใครๆ ก็อึ้ง รัฐบาลก็อึ้ง เลยเปลี่ยนมาเล่นเกมลดเวลาอภิปรายให้เหลือวันเดียว โดยอ้างว่าอภิปรายนายกฯ คนเดียวจะเอาเวลาอะไรมากมาย
ก่อนที่จะหันไปใช้บริการ “อ.วันนอร์ – วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานสภาฯ สั่งให้ฝ่ายค้านถอดชื่อ “ทักษิณ” ออกโดยอ้างว่าผิดกฎหมายและจะไม่บรรจุญัตติเข้าสู่วาระแน่นอนหากไม่ทำตาม
นาทีนี้สองฝ่ายขึงตึงเข้าหากัน ปลายแหลมพุ่งเข้าชนกัน และเมื่อนั้นเองการเจรจาต่อรองก็เกิดขึ้น ที่สุดทั้งสองก็รู้ว่าหากหาทางลงไม่ได้ก็ไม่เป็นผลดีกับใครเลยแน่ๆ
ฝ่ายค้านก็ยอมถอยด้วยการถอดชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ออกจากญัตติ และปล่อยให้สังคมเล่นสนุกกันสักพักเพื่อเดาว่าจะใช้ชื่ออะไร ไม่ว่าจะเป็น “ชายคนนั้น” “สทร.” “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” แต่สุดท้ายก็ใช้ชื่อกลางๆว่า “บุคคลในครอบครัว” ซึ่งที่สุดไม่ว่าจะใช้ชื่อไหนทุกคนก็รู้กันหมดแล้ว

แน่นอนว่าการยอมถอด ย่อมแลกมาด้วยอะไรบางอย่าง ซึ่งก็คือเวลาอภิปรายที่ตอนแรกรัฐบาล “บอกเผื่อต่อ” ทำให้เวลาจาก 1 วัน ได้มาเป็น 30 ชั่วโมง ซึ่งหากนับเวลาอภิปรายและคำนวณกลับมาเป็นวันอาจอยู่ที่ 3 วัน
แต่อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่า “มิชชั่น” ของฝ่ายรัฐบาลคือทำอย่างไรก็ได้เพื่อปกป้องกล่องดวงใจ จึงมีความพยายามต่อรองเพิ่ม โดยตอนแรกบอกว่า 30 ชั่วโมงต้องแบ่งกัน
ฝ่ายค้านก็สู้ว่า “ที่ผ่านมาผมยอมแล้วนะ” แล้วเวทีนี้คือเวทีการตรวจสอบของฝ่ายค้าน จะมีการปิดกั้นการตรวจสอบหรือ
ฝ่ายรัฐบาลเอง เอาเข้าจริงก็หนักใจ คือรู้ว่าก็ต้องยอม แต่ก็ต้องต่อรองเพื่อผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ผลการต่อรองจึงออกมาอยู่ที่ ฝ่ายค้านได้ 28 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาลได้ 7 ชั่วโมง และแบ่งให้ประธานฯ 2 ชั่วโมง ซึ่งเวลาที่ให้ประธานก็คือเวลาประท้วงนั่นแหละ
รวมทั้งหมด 39 ชั่วโมง โดย 28 ชั่วโมงเป็นเวทีที่ให้ฝ่ายค้านยืนซัดหมัดอย่างเดียว และตัวเองก็มีเวลาแก้เพียง 7 ชั่วโมง ส่วนเวลาประธานฯ 2 ชั่วโมงจริงๆก็คือเวลาประท้วงนั่นเอง
หากแปลง 39 ชั่วโมง มาเป็นวัน ตามการอภิปรายปกติ ที่จะใช้ประมาณ 12 – 15 ชั่วโมง จะอยู่ที่ 3 วันเต็มๆ แต่รัฐบาลก็กดเวลาให้เหลือแค่ 2 วัน โดยอ้างว่า นายกฯ มีภารกิจ

แล้วถ้าไม่ทัน หรือไม่พอล่ะให้ทำอย่างไร
คำตอบง่ายๆก็คือคืนวันที่ 24 อาจต้องอภิปรายยาวนานต่อเนื่อง เพื่อให้ใช้เวลาเยอะที่สุด คาดการณ์ว่าอาจถึง 05.00 น. เพื่อให้วันที่ 25 มี.ค. จบได้ก่อน 23.30 น. และให้สรุปจบภายใน 23.59 ก่อนจะโหวตในวันที่ 26 มี.ค.
สรุปง่ายๆ ถ้าเริ่มประชุม 09.00 น. วันที่ 24 มีนาคม อาจมีการประชุมยาวนานต่อเนื่องถึง 20 ชั่วโมงและหากไม่จบในคืนวันที่ 25 มีนาคมจริงๆ หรือเลยเที่ยงคืนไป ก็จะให้โหวตในวันที่ 27 มีนาคม
แปลตรงตัวคือไม่ว่าอย่างไรสองวันต้องจบ ดึกดื่นเที่ยงคืน หรือเช้ามืดก็ต้องจบ จำกัดความเสียหายให้มากที่สุด แถมอภิปรายดึกๆก็อาจจะไม่มีคนดู
แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือโลกใบนี้ไม่ได้อยู่ที่การถ่ายทอดสดอีกต่อไป แถมบางคนเลือกจะไม่ดู เพราะขี้เกียจฟังการประท้วงหรือน้ำท่วมทุ่ง และตั้งตารอรับชมแบบ “On Demand”
ซึ่งผู้ที่เชี่ยวชาญการสื่อสารผ่านโลกโซเชียลมากที่สุดคือพรรคฝ่ายค้านปัจจุบัน
ดังนั้นเวลาในการพูดจึงไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการนำมาขยายความต่อ และจะถูกบันทึกเอาไว้ดูแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เวลาที่พรรคฝ่ายค้านต้องการ จึงไม่ใช่เวลากี่โมง แต่เป็นเวลาเท่าไหร่ที่จะพูดได้ ส่วนการนำมาขยายหรือต่อยอดพวกเขาถนัดอยู่แล้ว
และนี่คือเกมการต่อรอง บนเวทีที่เรียกว่า “สภา” เพื่อให้แต่ละคนได้สมประโยชน์ที่สุด การเลือกเสียอาจจะมิใช่เสียทั้งหมด และการเลือกจะได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนได้ทั้งหมด