จากพายุหมุนเศรษฐกิจ สู่ “เบี้ยหัวแตก” แจกเงิน 10,000 บาท

จากพายุหมุนเศรษฐกิจ สู่ “เบี้ยหัวแตก” แจกเงิน 10,000 บาท นาทีนี้คำว่า “พายุหมุน” ได้เบาบางจางหายจากเป้าหมายไปเสียแล้ว

ตีลังกาเล่าข่าว โดย “กรรณะ”

แม้จะบอกว่าไม่ผิดสัญญา และเดินหน้าแจกเงิน 10,000 บาท ตามโครงการที่ได้รณรงค์หาเสียงเอาไว้เมื่อการเลือกตั้งที่ผ่านมา

แต่วันและเวลาผ่านไปก็คงพูดได้เต็มปากแล้วว่าโครงการนี้แทบไม่เหลือรูปรอยที่ตั้งต้นขึ้นมา
ย้อนกลับไปดูวันที่พรรคเพื่อไทยหาเสียง ตอนตั้งต้นโครงการ ยืนยันว่าจะแจกเป็นเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาท ส่วนคนที่ได้ไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้นขอแค่อายุ 16 ปี ขึ้นไปเท่านี้ก็จะได้ และยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะแจกทุกคน แม้แต่ลงทะเบียนก็ยังไม่ต้อง

“เพื่อไทย” ชี้แจงเหตุผลในวันที่หาเสียงว่า ที่จำเป็นต้องกำหนดเงื่อนไขแบบเกือบจะปล่อยฟรีขนาดนี้ เพราะโครงการนี้คือโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่โครงการสังคมสงเคราะห์แบบที่ผ่านๆ มา

ข้ออ้างในการกระทำเช่นนี้ก็เพราะเศรษฐกิจอยู่ในภาวะวิกฤตจึงจำเป็นต้องกระตุ้นครั้งใหญ่ โดยการอัดเงินเข้าสู่ระบบ

และที่ต้องกำหนดให้เป็น “ดิจิทัลวอลเล็ต” ก็เพื่อง่ายต่อการล็อกเป้าการใช้จ่าย ว่าอะไรให้ใช้ได้หรือไม่ได้ แถมยังคุยต่อว่าเป็นการสร้างระบบกระเป๋าเงินดิจิทัลเพื่อวางรากฐานให้เศรษฐกิจยุคใหม่ เพื่อเอาเป็นมาตรฐานการจ่ายเงินของรัฐและการดำเนินการโครงการในอนาคต

แม้จะมีคนค้านว่าใช้เงินถึงกว่า 5.6 แสนล้าน แต่เพื่อไทยก็ยืนยันถึงความจำเป็นและวิธีการพร้อมให้คำมั่นว่าด้วยกระบวนการทั้งหมดนี่คือ “พายุหมุนทางเศรษฐกิจ”  ที่จะปลุกเศรษฐกิจไทยที่หลับไหลให้ตื่นขึ้นมา โดยมีข้อแม้ว่าต้องมีเงินลงไปพร้อมๆกัน 5 แสนล้าน และลงท้ายว่า “ได้ศึกษามาเป็นอย่างดี”

ว่ากันตามจริง ถ้าจ่ายพร้อมๆกันต่อให้ไม่เป็นพายุหมุน แต่อย่างน้อยก็น่าจะเป็น “สเตียรอยด์ทางเศรษฐกิจ” ได้  เพราะเมื่อมีเม็ดเงินลงไปในตลาดทีเดียว 560,000 ล้านบาท เศรษฐกิจจะไม่ผงกหัวขึ้นบ้างก็ให้มันรู้ไป

ส่วนความคุ้มค่าที่ได้มา เป็นเรื่องของมุมมอง และความยั่งยืนในระยะยาวว่าจะรุ่งหรือว่าจะฟุบก็ยังต้องรอการพิสูจน์

แต่เมื่อได้มาเป็นรัฐบาลตั้งแต่ “เศรษฐา” ถึง “อุ๊งอิ๊ง” ก็ต้องยอมรับว่าถูกสกัดขัดขวางโครงการนี้ในหลายๆทาง ไม่ว่าจะเป็นจากธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒน์ฯ และอีกหลายๆหน่วย

แต่สิ่งที่เพื่อไทยทำ แทนที่จะเลือกยืนยันในหลักการ กลับเลือกที่จะโอนอ่อนและทำตรงข้ามกับสิ่งที่เคยยืนโต้แย้งมา นั่นอาจเพราะกลัวสองอย่าง

หนึ่งกลัวว่าถ้าไม่ทำตามคำเตือนจะกลายเป็นจุดอ่อนทำให้รัฐบาลต้องล้มลง ซ้ำรอยเหมือนสมัย “นายกฯปู” เพราะหลายองคาพยพของราชการดาหน้าออกมาคัดค้าน หากเดินหน้าทำต่อและมีคนไปฟ้องศาลก็ไม่แน่ว่า “อุ๊งอิ๊ง” หรือ “เศรษฐา” อาจเป็นคนต่อไปที่ต้องเดินตามรอย “อาปู”

อีกหนึ่งคือกลัวว่าจุดแข็งเรื่องการทำตามที่หาเสียง ซึ่งเหมือนเป็นเครื่องหมายการค้าของพรรคจะถูกลบทิ้ง ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็จะต้องแจกให้ได้

เมื่อรวมสองข้อด้วยความกลัว ลักษณะของโครงการที่ออกมาจึงไม่ต่างจาก “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ เหลาลงไปเป็นบ้องกัญชา”  ใจหนึ่งก็กลัวติดคุก แต่อีกใจก็อยากจะแจกเพราะมันคือเครดิต

นาทีนี้คำว่า “พายุหมุน” หรือ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ได้เบาบางจางหายไปจากเป้าหมายเสียแล้ว เหลือแต่แจกให้ได้ ส่วนจะมีผลหรือไม่มีอย่างไรดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องรองไปเสียแล้ว
โครงการเริ่มถูกเหลาลงจากตอนแรกแจกทุกคนแจกไม่มีเงื่อนไขขอเพียงอายุ 16 ปี ขึ้นไป และแจกเป็นดิจิทัลวอลเล็ต ก็เปลี่ยนเป็นการให้ลงทะเบียนเพื่อไม่ให้กลุ่มคนที่มีฐานะดีได้รับ
ฟังดูเหมือนจะดี แต่นี่กลับกลายเป็นการทำลายธีม “โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบถ้วนหน้า” ให้เหลือเพียง “โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเลือกจ่าย”

จากนั้นก็เหลือเพียงจ่ายก่อนล็อตแรกให้กลุ่มคนเปราะบาง พูดง่ายๆ ก็คือผู้ถือบัตรคนจน คนพิการ และแจกเป็นเงินสด ไม่มีคำว่า “ดิจิทัลวอลเล็ต” โดยอ้างว่ากลุ่มคนนี้อาจจะใช้ยาก

ซึ่งมีคนที่เข้าข่าย 14.5 ล้านคน หรือใช้เม็ดเงินประมาณ 1.4 แสนล้านบาท ห่างจากจำนวนเม็ดเงินที่คิดว่าจะปล่อยตามที่หาเสียงถึง 4.2 แสนล้านทีเดียว
เมื่อการจ่ายไม่เป็นไปตามที่ออกแบบไว้ ผลตอบแทนก็ยากจะเป็นอย่างที่คาดการณ์ถึง

ส่วนตัวโครงการก็เปลี่ยนเป็น “โครงการสังคมสงเคราะห์” อย่างที่เคยตอบโต้คนที่คัดค้านเอาไว้เมื่อครั้งหาเสียงเอาไว้
จากนั้นก็เข้าสู่เฟสสอง  คราวนี้ก็ไม่อ้อมแอ้มและเลือกแจกเฉพาะผู้สูงอายุ ส่วนคนที่เข้าข่ายก็มีเพียง 4 ล้านคน หรือมีเม็ดเงินลงไปแค่ 40,000 ล้านเท่านั้น และแน่นนอนว่าเป็นเงินสดเหมือนเดิม

คนก็รอว่าเมื่อไหร่เฟสสามจะมาถึงเพื่อรอกลุ่มใหญ่ที่เหลือ แม้จะเป็น “พายุหมุนเศรษฐกิจ” ไม่ได้  แต่จำนวนกว่า 4 แสนล้านอย่างน้อยก็น่าจะเป็น “หย่อมความกดอากาศทางเศรษฐกิจ”ได้ แต่ล่าสุด “พิชัย ชุนหวชิระ” รองนายกฯ และ รมว. คลังก็ออกมาบอกว่าเฟสสามจะเหลือแค่เด็กอายุ 16 – 20 เท่านั้น และจะเป็นเงินดิจิทัล  โดยให้เหตุผลว่าคนเจนนี้เป็นคนรุ่นใหม่ ใช้เงินผ่านดิจิทัลได้คล่อง

เอาแค่คำอธิบายก่อน  คนวัยทำงานถึงกับอ้าปากหวอ มิใช่พวกเขาหรอกหรือที่กำลังใช้เทคโนโลยีในทุกวันนี้ และใช้จ่ายเงินแบบแทบจะไม่พกเงินสดกันแล้ว

ที่สำคัญจาก “พายุหมุนเศรษฐกิจ” ในตอนนี้เป็นได้แค่ “เบี้ยหัวแตก” ที่จ่ายยิบจ่ายย่อย ไม่มีเม็ดเงินมหาศาลลงไปในระบบเหมือนที่ตั้งต้นโครงการเอาไว้

จริงอยู่ที่ถูกขัดขวาง แต่ด้วยความไม่ยึดมั่นในหลักการ หวังแต่เพียงจะแจก สุดท้ายก็กลายเป็นโครงการจ่ายเงินไปเพื่อหวังผลทางการเมืองมากกว่าผลทางเศรษฐกิจแบบจริงจัง