
คอลัมน์ ตีลังกาเล่าข่าว : โดย “กรรณะ”
ปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาลปัจจุบันมีสองพรรคหลักที่อาศัยกันและกัน หนึ่งคือ “เพื่อไทย” ที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล สองคือ “ภูมิใจไทย” พรรคอันดับสามของสภา อันดับสองของรัฐบาล แต่เป็นตัวแปรอันดับหนึ่ง
สองพรรครวมกันมี 213 เสียง เพื่อไทยมี 142 เสียง ภูมิใจไทย 69 เสียง เรียกว่า ค่อนของรัฐบาล ซึ่งหากขาดพรรคใดพรรคหนึ่ง รัฐบาลนี้ก็มิอาจตั้งอยู่ได้
หาก “ภูมิใจไทย” ไม่มี “เพื่อไทย” เสียงรัฐบาลก็จะเหลือแค่ 180 ขณะเดียวกัน ไม่มีภูมิใจไทย รัฐบาลก็จะเหลือ 253 เป็นรัฐบาลปริ่มน้ำ
มิพักต้องพูดถึงหากภูมิใจไทยไม่อยู่ ก็จะมีพรรคอื่นที่ไม่อยู่ตามไปอีกด้วย ดีไม่ดีรัฐบาลอาจต้องล่มเพราะการจับมือกับ “ประชาชน” ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก ซึ่งถึงนาทีนี้ความเป็นไปได้เท่ากับศูนย์
เมื่อต่างคนจำต้องอยู่ แต่หากดูเนื้อแท้แล้วยังมีความขัดกันด้านอุดมการณ์และแนวคิดอยู่ไม่น้อย แถม “ภูมิใจไทย” เองก็หวังว่าเลือกตั้งครั้งหน้า ตัวเองอาจจะมีตัวเลขเยอะกว่านี้ และเป็นตัวแปรที่สำคัญยามไม่มี สว. และถ้าโอกาสมาฟ้าเปิด “เสี่ยหนู” ก็อาจมีสิทธิคั่วเก้าอี้นายกฯ
แม้ใครจะบอกว่า “ภูมิใจไทย” ไม่เป็นหรอกอยู่แบบนี้สบายกว่า แต่ในอดีตก็มีมาให้เห็นเช่น “บรรหาร ศิลปอาชา” ที่จองเก้าอี้ในรัฐบาลในฐานะตัวแปรหลักมาตลอด แต่มาวันหนึ่งเมื่อโอกาสมาถึงเขาก็ไม่ปล่อยเช่นกัน
“ภูมิใจไทย” หน้าฉากแม้จะบอกว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา แต่จะเห็นว่าพวกเขาไม่เคยทำตามหากไม่เห็นด้วย จนถึงขั้นได้ฉายา “ภูมิใจขวาง”

เราจึงเห็นภาพของ “เพื่อไทย” และ “ภูมิใจไทย” ที่ไม่ได้หนึ่งเดียวเหนียวแน่น แต่อยู่ในสภาพ “เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด” อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง พ.ร.บ.ประชามติ , พ.ร.บ.นิรโทษกรรม , พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหมสกัดรัฐประหาร การแก้หมวดจริยธรรมนักการเมือง , พ.ร.บ.แรงงาน และทุกเรื่องก็ล้วนเป็นไปตามที่ “ภูมิใจไทย” ต้องการ
ฟากฝั่ง “เพื่อไทย” เองก็ใช่ว่าจะยอม และออกลูกปรามเป็นพักๆ แต่คนที่ออกมาปรามไมใช่นายกฯ อย่าง “อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร” แต่กลับเป็น “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ปัจจุบันสวมบทบาทคุณพ่อนายกฯ
เช่น ตอน พ.ร.บ. จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม “ทักษิณ” ก็ออกมาบอกว่า “ภูมิใจไทยรีบหล่อเร็วไปนิด หล่อช้าๆอีกนิดนึงก็ได้”
และครั้งนั้นก็มีคนของ “เพื่อไทย” ออกมาโจมตีสองคนติดๆเริ่มที่ “อดิศร เพียงเกษ” ที่บอกว่า “พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน แถลงนโยบายด้วยกันก็ต้องปฏิบัติตาม ถ้าไม่ทำตามนี้แล้วจะลงเรือลำเดียวกันได้อย่างไร ผมรู้ว่าคุณขวางเพื่อถ่วงไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญ”
หรือ ประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ ก็บอกกลางสภาเหน็บไปถึงคนหล่อว่า “ผมเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ผมไม่ดัดจริต ไม่พูดเอาหล่อเหมือนคนบางคน”
ความเดือดครั้งนั้นทำให้ไม่กี่วันต่อมามีภาพ “ทักษิณ” กินข้าว ตีกอล์ฟ ร้องเพลงกับ “อนุทิน” สยบเกาเหลา
แต่ผ่านมาไม่นาน ก็มีเรื่องคอลเซ็นเตอร์ ที่จีนกดดันไทยให้ตัดไฟเมืองในเมียวดี แน่นอนว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ “มหาดไทย” ที่เป็นต้นสังกัดของ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
โดย “ทักษิณ” ออกมาย้ำดัง ๆ ว่าตัดไฟได้ ขณะที่ “อนุทิน” บอกว่าไม่ใช่จู่ๆ อยากตัดก็ตัดได้ หากอยากให้ตัดก็สั่งมา
แล้วก็ปรากฏเอกสารจากใครบางคนบอกว่า “เศรษฐา ทวีสิน” เคยสั่งการให้ตัดไฟ ตัดเน็ต ไปยังเชวโก๊กโก่แล้วแต่ไม่มีใครทำอะไร
ทำให้ กฟภ. ปล่อยเอกสารบ้างว่า เมื่อได้คำสั่งให้ตัดไฟจากนายกฯ แต่พอถามไปหน่วยความมั่นคงกลับไม่มีใครให้คำตอบได้เลยว่ามีการนำไฟไปใช้ในทางไม่ถูกต้องแต่อย่างใด
และล่าสุดนายกฯรัฐมนตรีก็มีคำสั่งตัดไฟฟ้า ไปส่งเลี้ยงเมืองคอลเซ็นเตอร์ ชนิดไม่สน “มหาดไทย” ที่พรรคภูมิใจไทยกุมบังเหียนอีกต่อไป
ขณะที่หันมามองอีกมุม การเลือกตั้ง อบจ. แม้ทุกคนจะรู้ว่านี่คือสนามการเมือง ไม่มีมิตร เพราะทุกคนล้วนเป็นคู่แข่ง
แต่เราก็ได้เห็นบรรยากาศแข่งกันแบบดุเดือดชนิดที่นึกไม่ถึงว่านี่คือผู้ที่กำลังเป็นพันธมิตรร่วมรัฐบาลกัน

เพราะนาทีนี้ “เพื่อไทย” กับ “ภูมิใจไทย” ก็กำลังแย่งคะแนน แย่งฐานเสียงกัน เพื่อเตรียมการสู่การเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า
หลายพื้นที่เป็นลักษณะซ้อนทับคือ แย่งกันสนับสนุนบ้านใหญ่ คล้ายการเสนอตัวเพื่อให้ “บ้านใหญ่” เลือกว่าจะสังกัดพรรคไหน
นอกจากนี้หลายพื้นที่ยังเป็นการวัดกำลังกันว่า ใครเหนือกว่ากันระหว่างแดงกับน้ำเงิน
“เพื่อไทย” ดูเหมือนจะเอาจริง ใช้ “ทักษิณ ชินวัตร” ลงพื้นที่ในนามผู้ช่วยหาเสียง และล็อกเป้าพื้นที่ที่ได้ชัวร์ และหนึ่งในนั้นคือ พื้นที่ “ศรีสะเกษ” พื้นที่อีสานใต้ ซึ่งเป็นบ้านอีกหลังของภูมิใจไทย
“ทักษิณ” ย้อนรอยเลือกตั้งใหญ่ โดยใช้คำว่า “ไปไล่หนู ตีงูเห่า” เล่นใหญ่ไฟกะพริบ บอกจะไปกวาดคะแนนให้เกลี้ยง
ด้าน “ภูมิใจไทย” เองไม่ออกลูกกระโตกกระตาก ใช้เกมแบบมวยวัด ไม่มีปราศรัยใหญ่แบบพญาน้อยเดินตลาด แต่ใช้วิธีดั้งเดิมของการเมืองท้องถิ่น สุดท้ายผลออกมา ว่ากันว่า “นายก อบจ.” สังกัดสีน้ำเงิน มีมากกว่า สังกัดสีแดง
เช่นเดียวกับที่ “ศรีสะเกษ” ที่เมื่อรู้ผล “เสี่ยหนู” ก็พูดติดตลกว่า ที่บอกว่ากวาดให้เกลี้ยงคือ กวาดคะแนนให้ “ส้มเกลี้ยง” ที่เป็นชื่อเล่นของ “วิชิต ไตรสรณกุล” ผู้สมัครในเครือข่ายภูมิใจไทย
ว่ากันว่าคนคุมเกม เลือกตั้ง “อบจ.” ครั้งนี้ใช่ใครอื่นไกลที่ไหน แต่เป็น “เนวิน ชิดชอบ” อดีตลูกน้องของ “ทักษิณ” ที่ปัจจุบันเล่นบท “หอคอยคู่” “อนุทิน – เนวิน” ให้กับพรรคภูมิใจไทย
หากอ่านหน้าผลการเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งนี้จะเห็นได้ว่า “ภูมิใจไทย” ใช้กลไกทุกอย่างอย่างได้ผล ไม่ว่าจะเป็น มหาดไทย สาธารณสุข รวมถึงความใจถึงพึ่งได้ เดินเกมเต็มที่ และที่สำคัญคือมีความเข้าใจในการเลือกตั้งท้องถิ่น ทำให้พวกเขาเป็นผู้คว้าชัยในเกมนี้
และมีความเป็นไปได้ว่า หากยังเป็นเช่นนี้ จนถึงการเลือกตั้งใหญ๋จะมี “บ้านใหญ่” ตบเท้าเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทยอีกมาก
และถึงวันนั้นถึงแม้จะไม่ได้ สส. มากขนาดเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ก็อยู่ในฐานะตัวแปรที่ขาดไม่ได้ แล้วถ้ายังมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ก็คงต้องอยู่กันฉันท์พี่น้อง “กาสะลอง – ซ้องปีป” ไปแบบนี้
แต่หาก “บุญมา วาสนาถึง” พวกเขาก็คงไม่ปล่อยโอกาสก้าวขึ้นสู่เก้าอี้ นายกรัฐมนตรี
ถึงวันนั้น “เพื่อไทย” ก็อาจเล่นบทบาทเดียวกับ “ภูมิใจไทย” ณ วันนี้ก็เป็นได้