ส่งคืน “อุยกูร์” เกมที่รัฐบาลเร่งจบ! เมื่อไทยเลือกข้าง ทำดุลอำนาจสั่นคลอน   

ส่งคืน “อุยกูร์” เกมที่รัฐบาลเร่งจบ! ทำงานเข้า สหรัฐฯ ระงับวีซ่า จนท.ไทย เอี่ยวส่งอุยกูร์กลับจีน ถือเป็นมาตรการทางการทูตที่หนักหน่วงซึ่งแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อนโยบายของประเทศ

ตีลังกาเล่าข่าว  โดย “กรรณะ” 

ทุกคนก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องปกติที่จู่ๆ ปัญหาซึ่งคาราคาซังมา 11 ปี ถูกปิดจบโดยรัฐบาล “เพื่อไทย” เมื่อตัดสินใจส่งกลับ “ชาวอุยกูร์” ไปยังประเทศจีนตามคำร้องขอขอรัฐบาลจีน 

ถ้าจำกันได้ เราเคยส่งกลับไปแล้วครั้งนึง เมื่อเกิดเหตุใหม่ๆ เมื่อปี 2558 ซึ่งก็เกิดความเสียหายที่ไม่มีใครอยากให้เกิด และคราวนี้ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าขอบเขตของเรื่องราวจะลุกลามไปถึงขนาดไหน   

ย้อนกลับไปวันที่เราส่งกลับ “อุยกูร์” ให้รัฐบาลจีน ชุดคำอธิบายที่ออกมาจากฝั่งรัฐบาลโดยเฉพาะ “ภูมิธรรม เวชชยชัย”  ออกมาบอกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานับแต่ตุรกีรับคนกลับไปคราวนั้นก็ไม่มีใครขอรับอย่างจริงจังหรือขอรับอย่างเป็นทางการอีกเลย  

และพูดในทำนองถึงเวลาที่รัฐบาลนี้ต้องจบปัญหาคาราคาซังที่มีอยู่มานาน ฟังดูคล้ายกับพระเอกผู้เสียสละจบเรื่องที่ยืดเยื้อ แต่คำถามคือทำไมต้องรีบจบเรื่องเพราะเรื่องก็อยู่อย่างนี้มายาวนาน และใครๆ ก็รู้ว่าถ้าจบปัญหาไม่แบบใดก็แบบหนึ่งจะวิ่งมาหาเราแน่นอน  

ก่อนหน้านั้นไม่รู้ว่า สหรัฐฯ ไปได้ข้อมูลอะไรมาก่อนหรือไม่ เพราะก่อนที่ “มาร์โก รูบิโอ” จะเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ในยุคของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ก็ได้คำรามเสียงดังเตือนไทยว่าอย่าส่ง “อุยกูร์”กลับเด็ดขาด 

แต่ก็เหมือนจะไม่เป็นผล เพราะจู่ๆไทยก็ปฏิบัติการสายฟ้าแลบ ส่งกลับช่วงเช้ามืด ขณะที่เจ้าหน้าที่จากรัฐบาลไทยปิดปากเงียบ ก่อนที่รัฐบาลจีนจะเปิดภาพทุกอย่างออกมาเราถึงได้ยอมรับ ยิ่งมองยิ่งคล้ายว่าเรากำลังเดินตามหลังรัฐบาลจีน 

การส่งกลับครั้งนั้นมีข้อครหามากมาย เพราะ “จังหวะและเวลา” หลายอย่างชวนคิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปราบคอลเซ็นเตอร์ ที่จีนเข้ามาเทคแอคชั่นแบบเต็มตัว และ ข่าวคราวที่ว่าอาจมีคนไทยมีเอี่ยว   

นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่ารัฐบาลกำลังเดินหน้าแลนด์บริดจ์ ซึ่งก็กำลังต้องการการสนับสนุนจากต่างชาติ และต่างชาติที่ว่าก็หนีไม่พ้นพญามังกร  

แน่นอนว่าย่างก้าวนี้ทำให้เห็นว่า “สัมพันธ์” ไทย–จีน ไม่ว่าอยู่ในรูปแบบไหนก็เรียกว่าแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น และต่อไปการตกลงหลายๆเรื่องก็อาจจะง่ายขึ้น 

แต่ในอีกมุมความสัมพันธ์กับโลกตะวันตก เรากลับอยู่ในสภาพย่ำแย่และถูกมองว่าไทยไม่จริงใจเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะปัญหา “อุยกูร์” ที่ฝั่งตะวันตกมองว่าจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเห็นได้ชัด 

และมีการปล่อยชุดข้อมูลที่หักหน้ารัฐบาลไทยไม่น้อยว่ามีหลายประเทศขอรับ “48 อุยกูร์” แต่ไทยกลับไม่ยอม และเลือกส่งไปให้จีน 

ทำให้ขณะนี้มาตรการตอบโต้เริ่มทยอยออกมา โดยรัฐสภาแห่งสหภาพยุโรปลงมติประณามไทย และให้ใช้มาตราการทาง FTA ดำเนินการกับไทย ขณะที่สหรัฐฯ เองนั้น บอกเลยว่าเล่นตรงเล่นใหญ่ ประกาศมาตรการจำกัดวีซ่ากับเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งชาว “อุยกูร์” กลับประเทศจีน  

แม้ไม่บอกว่าใครบ้าง แต่ก็คงไม่มีคนในรัฐบาลคนไหนเสี่ยงไปสหรัฐฯ แล้วโดนห้ามเข้าประเทศเป็นแน่  

ถามว่าทำไมสหรัฐฯ เล่นใหญ่ หนึ่งคือการกระทำนี้แสดงว่าไทยไม่เดินหน้ารักษาดุลอำนาจ ในฐานะมหามิตรที่มีอยู่อย่างยาวนาน   

อีกหนึ่งคือเป็นการหักหน้า “มาร์โก รูบิโอ” เพราะ เขาไปบอกกับกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วุฒิสภาของสหรัฐฯ ว่าจะกดดันไทยไม่ให้ส่ง “อุยกูร์” กลับ และวันนี้เขาทำไม่ได้จึงยิ่งทำให้เสียรังวัดไปไม่น้อย 

ต้องบอกว่าแม้มาตรการจำกัดวีซ่าจะไม่กระทบคนไทยโดยทั่วไป แต่มาตรการนี้ใช้สำหรับแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อนโยบายของประเทศ และถือเป็นมาตรการทางการทูตที่หนักหน่วง  

ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะมีมาตรการอื่นตามออกมาอีกมากและแน่นอนว่ารวมถึงมาตรการเรื่องการค้า 

และหากไปดูเรื่องการค้าแล้วจะพบว่านาทีนี้ไทยเดินเข้าสู่ตาที่ทำให้เสียเปรียบจริงๆ  จริงอยู่ที่จีนเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุด แต่ไทยก็ไม่ได้ดุลการค้าจากจีน 

แปลง่ายๆ ว่าขาดทุนนั่นแหละ โดยปี 2566 ไทยขาดดุลจีน 1.2 ล้านล้านบาท ขณะที่ ครึ่งปีแรก 2567 ไทยขาดดุลจีนไปแล้ว 6 แสนล้านบาท 

แต่กับสหรัฐฯ ปี 2566 ไทยเกินดุลการค้า หรือ “กำไร” 9 แสนล้านบาท ขณะที่ ถึงเดือน พ.ย. ปี 2567 ไทยเกินดุลสหรัฐฯ มาแล้ว 1.3 ล้านล้านบาท  

ไม่รวมประเทศในสหภาพยุโรปอีกเป็นจำนวนมาก หากมีการใช้มาตรการทางการค้าจริงบอกได้เลยว่าไทยหนักแน่นอน  เพราะวันนี้เศรษฐกิจไทยก็ตกต่ำย่ำแย่อยู่แล้ว 

ดังนั้นการเดินหมากนี้จึงทำให้ดุลอำนาจของไทยต่อโลกเสียไปอย่างสมบูรณ์ เพราะที่ผ่านมาประเทศอย่างเราพยายามดุลอำนาจระหว่างสองฝั่ง ในฐานะ “คนตัวเล็ก”  ที่ก็ต้องมีศาตร์ของคนตัวเล็กในการอยู่กัล คนตัวใหญ่  

การเอียงมาทางใดหนึ่ง ย่อมเกิดความบอบช้ำ หลายคนบอกว่า ตะวันตกไม่คบจะเป็นอะไร  แต่ความเป็นจริง แม้แต่ฝั่งเที่เราเลือกเข้าหา หากมีความชัดเจนมากเกินไป ก็จะกลายเป็นเสียเปรียบเพราะย่อมจะถูกมองว่าเราหมดทางเลือกและอำนาจต่อรองแล้ว  

และก็เป็นไปตามกฎของโลก เมื่อหมดอำนาจต่อรองที่เหลือก็จะมีเพียงสถานะลูกไล่เท่านั้น  คำถามคือไทยกำลังเดินเข้าสู่จุดอับเช่นนั้นหรือไม่  หรือกำลังหาทางพลิกกลับอย่างไร รัฐบาลต้องให้คำตอบให้ได้เพราะหมากตานี้รัฐบาลเลือกเดินทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องเลือกเสียด้วยซ้ำ