
กรณีประเทศไทย ผลักดัน “ชาวอุยกูร์” กลับประเทศจีน หลังถูกควบคุมตัวอยู่ในไทย มานานกว่า 11 ปี เนื่องจากการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่สังคมกำลังให้ความสนใจ และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ล่าสุด วันนี้ (28 ก.พ.68) นายกัณวีร์ สืบแสง สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ได้โพสต์เฟซบุ๊กแฉการส่งชาวอุยกูร์ กลับประเทศจีน ว่า…
“เปิดจดหมาย 3 ฉบับจากเสียงผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่เคยถูกกัก และผู้ที่ถูกผลักดันกลับจีน มาดู (ฟัง) เสียงคนที่ไม่สามารถเปล่งเสียงออกจากห้องกักเป็นเวลาเกือบ 11 ปี สุดท้ายรัฐไทยเปล่งเสียงแทนว่าพวกเขาอยากกลับจีนมาก เพื่อไปเจอครอบครัวเขา
จดหมายทั้งสามฉบับเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือขอวามช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่ถูกกักและคุมขังในไทยมานานเกือบ 11 ปี โดยชาวอุยกูร์ 48 คน ยืนยันไม่สมัครใจกลับจีน กลัวติดคุกและถูกฆ่าตาย และส่งถึงนายกรัฐมนตรีไทย ใช้หัวอกความเป็นแม่และผู้หญิงช่วยให้ชาวอุยกูร์ได้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่

จดหมายฉบับแรก มาจากผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ถึง UNHCR เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2567 แต่จดหมายไปไม่ถึง UNHCR ทาง สตม.เก็บไว้และส่งคืนให้ผู้ต้องกักระหว่างอดอาหาร เมื่อเดือน ม.ค.2568 ที่แจ้งชัดเจนว่า “อย่าส่งเขากลับจีน เพราะหากถูกส่งไปชีวิตเขาไม่ถูกขัง ก็ถูกทรมานและอาจตายได้” จดหมายฉบับนี้ถูกดองและส่งคืน
จดหมายฉบับที่สอง นอกจากนี้ ยังมีจดหมายจากญาติของผู้ต้องกักที่เป็นตัวแทนของ 43 อุยกูร์ ถึงนายกรัฐมนตรีของไทย ขอให้ส่งตัวชาวอุยกูร์ที่เป็นลูกๆ และสามีพวกเขาไปประเทศอื่น จดหมายส่งไปเมื่อวันที่ 15 พ.ย.2567 ย้ำเรื่องการที่นายกฯ ก็เพิ่งได้รับคุณพ่อที่เพิ่งกลับมาราวมครอบครัวได้ ซึ่งเป็นหัวอกของความเป็นสมาชิกในครอบครัวที่ถูกทำให้แยกจากกัน และต้องเข้าใจให้ตรงกันนะครับว่าครอบครัวของ 43 อุยกูร์นี้ถูกส่งไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม (ตุรกี) เมื่อปี 2568 นะครับ ไม่ใช่อยู่ที่จีน
จดหมายฉบับที่สาม เขียนโดยผู้ต้องกักอุยกูร์ในห้องกักที่สวนพลู ขอความช่วยเหลือ SOS เพื่อขอความช่วยเหลือจากประชาคมโลก ไม่ให้ถูกบังคับส่งกลับไปยังประเทศจีน เนื่องจากภัยอันตราย โดยพวกเขาประกาศอดอาหารเป็นเวลา 19 วัน ตั้งแต่วันที่ 10 -28 ม.ค.2568

นี่คือเสียงจากผู้ที่ไม่มีเสียง (Voices of the Voiceless) ผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์และครอบครัวที่ถูกทำให้แยกกันเป็นเวลามากกว่า 10 ปี จะเอายังไงรัฐบาลไทย? จะนั่งโต๊ะแถลงแบบหลอกลวงคนทั้งโลกว่าเขาอยากกลับประเทศเอง โดยสมัครใจอีกหรือไม่?
เขาประท้วงโดยการอดอาหารตอนต้นปีนี้ เพราะกลัวว่าจะถูกผลักดันกลับจีน ญาติเขาที่อยู่ตุรกีขอให้ใช้หลักการรวมครอบครัวไปที่ตุรกี แล้วบอกนายกฯ เราขอให้เอาใจท่านมาใส่ใจเขาในฐานะลูกสาวที่พ่อเพิ่งกลับมารวมครอบครัวจากการลี้ภัยในต่างประเทศ เอ้าจะว่าไง?
เลขา สมช. บินไปจีนไปร่วมสร้างภาพกับการโกหกหลอกลวงจากนักการเมืองที่อ้างหลักสิทธิมนุษยชนผิดๆ บิดเบี้ยวนี้ ท่านไปทำทำไม ผมเสียใจอย่างแท้จริงกับการจัดฉากหลอกลวงระดับโลกนี้ แถม ผบ.ตร.มาอ้างว่าเขาอยากกลับบ้านไปรวมครอบครัวมันคืออะไร?
ไอ้การที่ ผบ.ตร.ไม่รู้วิธีการแก้ไขแบบยั่งยืนด้านผู้ลี้ภัย ผมไม่ติดนะ เพราะคงไม่รู้จริงๆ แต่อย่าเสนอสิ่งที่จะทำให้สังคมตระหนักรู้ที่ผิดเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน โดยบอกว่าเราเสียภาษีเลี้ยงดูเขามาอย่างยาวนาน ทำไมต้องดูแลและเขาอยากกลับบ้าน โถ่ !! เพราะจริงๆ มีมากกว่า 1 ประเทศอยากรับมาอย่างยาวนาน แต่รัฐไทยไม่ให้
หยุดบิดเบือนการกระทำผิด ทำงานลับๆ ล่อๆ ทำอย่างกับขบวนการนำพา (Human Smuggling) ทำเป็นไม่บอกไม่กล่าว ทำให้เสร็จก่อนแล้วให้จีนแถลงก่อน หากท่านโปร่งใสและกล้าหาญจริงและบอกว่าตัวเองทำชอบธรรมแล้ว ทำไมไม่ประกาศตั้งแต่แรกที่มีการตกลงกับสีจิ้นผิง แล้วแจ้งให้สาธารณะทราบ ที่สำคัญที่สุด ไม่แจ้งให้ผู้ลี้ภัยอุยกูร์ทราบว่ามีกระบวนการอะไร เขาเต็มใจหรือไม่ และให้เขาบอกเองว่าเขาอยากกลับไปจีนเอง!
หยุดการแก้ตัวที่บิดเบือนข้อเท็จจริง และเสนอเหตุผลยอดแย่ ต้องยอมรับความจริง”
