
ตีลังกาเล่าข่าว โดย “กรรณะ”
ไม่ดำเนินคดีอั้งยี่แต่ให้เดินหน้าคดีฟอกเงิน ที่เกี่ยวข้องกับการ “ฮั้วเลือก สว.” คือมติของคณะกรรมการคดีพิเศษ หลังจากเลื่อนมาหนึ่งอาทิตย์
ผลสรุปดูเหมือนง่ายๆ แต่เส้นทางกว่าจะเดินมาถึงตรงนี้ไม่ง่าย
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องข้อเท็จจริงแบบเพียวๆ แต่เป็นเรื่องของการเมืองที่มีลักษณะเป็นสงครามตัวแทน หนึ่งคือ “พรรคสีแดง” อีกหนึ่งคือ “พรรคสีน้ำเงิน”
การแพ้ชนะในคดีนี้ส่งผลถึงนัยยะทางการเมืองมากมาย เพราะ สว. ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีบทบาทต่อการแต่งตั้ง การอยู่การไปขององค์กรอิสระ และองค์กรอิสระก็มีผลกับการเมืองอย่างมหาศาลโดยเฉพาะเรื่องการตรวจสอบ นอกจากนี้ยังมีเรื่องการพิจารณากฎหมายบางวาระที่ต้องการเสียงข้างมากแบบพิเศษ
พรรคสีแดงเองไม่พอใจดุลอำนาจแบบที่เป็นอยู่แน่นอนเพราะดูอย่างไรก็ไม่เหมือนแกนนำรัฐบาล แต่ถูกพรรคสีน้ำเงินชี้นำไปในทางที่ตัวเองต้องการทุกอย่าง ดังนั้นการพลิกเกมเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ
ขณะที่พรรคสีน้ำเงินเองก็รู้ว่ากระดานนี้เสียไม่ได้เช่นกัน เพราะแต้มต่อทางการเมืองจะหายไป สถานะยิ่งใหญ่จะถูกลดทอน และที่สำคัญหากวันใดพรรคแกนนำขัดใจมากๆ ก็อาจจะถูกขับออกจากรัฐบาลได้ แม้ว่าขับแล้วจะเหนื่อยหน่อยก็ตาม

อย่างไรก็ตามเอาเข้าจริงๆ แล้ว ทั้งสองพรรคเองก็ไม่พร้อมที่จะแยกจากกัน จึงต้องอยู่กันแบบพี่น้อง “กาสะลอง – ซ้องปีบ” กันไปแบบนี้
เพราะการแยกกันก็หมายถึงการเดินหน้าสู่การเลือกตั้งใหม่ ซึ่งก็ยังไม่พร้อมทั้งคู่ พรรคสีน้ำเงินเองก็อยากเก็บสะสมทุนรอน แต้มต่อทางการเมืองให้เพิ่มขึ้น ส่วนพรรคสีแดงนาทีนี้ เอาอะไรมามั่นใจว่าจะกลับมาเป็นพรรคอันดับหนึ่ง เพราะเศรษฐกิจที่หวังว่าจะใช้เป็นบันไดให้ก็ดิ่งเหว ตลาดหุ้นปักหัว สินค้าราคาแพง ที่สำคัญคนไม่มีความรู้สึกว่ามีเงินในกระเป๋าเยอะขึ้นเหมือนที่พวกเขาอยากให้เป็น
ส่วนพรรคฝ่ายค้านที่เคยได้อันดับหนึ่งในคราวที่แล้วก็เก็บแต้มต่อไปเรื่อยกับการตรวจสอบและไล่รื้อโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอลเซ็นเตอร์ที่เดินนำมาก่อนหรือเรื่องการตรวจสอบประกันสังคม บอกเลยว่าหากเลือกตั้งตอนนี้ทั้งสองพรรคเหนื่อยแน่ๆ
แต่เรื่อง สว. จะเอาอย่างไร เพราะสีแดงเองก็ไม่ต้องการให้ดุลการเมืองเป็นเช่นนี้ ส่วนสีน้ำเงินก็ยังต้องการแบบนี้ ดังนั้นการยืดและยื้อเวลาออกไปไม่รีบตัดสินใจก็ไม่ได้ทำให้อะไรเสียหาย
แถมว่ากันว่าก่อนวันนัดชี้ชะตาของคณะกรรมการคดีพิเศษ 4 ผู้มากบารมีทางการเมือง ณ วันนี้ได้พบปะกันที่บ้านจันทร์ส่องหน้า 2 คนจากค่ายสีแดงอย่าง “นายกฯแพทองธาร ชินวัตร” และ “พ่อนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ส่วนอีกสองคนก็จากค่ายสีน้ำเงินอย่าง “หนู – เน” อนุทิน ชาญวีรกูล และ เนวิน ชิดชอบ
ว่ากันว่าข้อตกลงคือยังไงก็อยู่ด้วยกัน แต่เรื่อง สว. จะจัดการอย่างไรก็ยังไม่ต้องรีบและปล่อยให้สถานการณ์ ต่างฝ่ายต่างยืนคุมเชิงกันไปแบบนี้

ลองจินตนาการดูว่า หาก กคพ. มีมติรับเป็นคดีพิเศษ งานนี้ สว. จะเสียหายหนักขนาดไหนดังนั้นไม่ว่าทางไหนก็ยอมไม่ได้ แต่ในอีกทาง หากไม่รับดูเหมือนสีแดงจะยับเยินกว่ามากมาย เพราะแปลว่าหมดสภาพการสั่งการในฐานะแกนนำรัฐบาล แม้แต่คนใน กคพ. ที่อุดมไปด้วยเจ้าหน้าที่รัฐยังคุมเสียงไม่ได้เลย ยิ่งอยู่ยิ่งจะไม่ใช่พระเอก แต่จะเป็นลูกไล่เสียมากกว่า
ตอนแรกทุกคนดูเหมือนจะไม่มีทางออก แต่สุดท้ายก็มีประตูเล็กๆอยู่หนึ่งประตูที่เปิดทางออกให้ทั้งคู่แบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำมากนักและก็จะยืนคุมเชิงกันไปอย่างนี้จนกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลง หรือกลายเป็นสุกงอมอีกครั้ง
แน่นอนว่าไม่ว่าอย่างไรก็รับเป็นคดีพิเศษไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้น “สว.” และ “สีน้ำเงิน” จะแพ้ทั้งกระดาน แต่ถ้าไม่รับเลย “สีแดง” ก็แพ้ทั้งกระดาน
ทางออกแบบ “คนละครึ่ง” จึงโผล่ออกมา
นั่นคือคดีที่ต้องใช้มติ กคพ. อย่าง “คดีฮั้วเลือกตั้ง” ในส่วนของคดี “อั้งยี่ ซ่องโจร” ก็ไม่สามารถรับเป็นคดีพิเศษได้ เพราะเสียงที่ได้มีเพียง 11 เสียง ไม่ถึง 15 เสียงตามที่กฎหมายกำหนด แต่ก็มีมติด้วยเสียงเท่ากันคือ 11 ต่อ 8 ให้ “ดีเอสไอ” ไปดำเนินคดีอาญาในส่วนของการฟอกเงิน
หลายคนงงว่าออกรูปนี้ได้อย่างไร ต้องอธิบายว่าคดีฮั้วเลือกตั้ง นั้นถูกมองว่าไม่ได้อยู่ในอำนาจของดีเอสไอแต่แรก หากอยากจะทำคดีนี้ต้องให้บอร์ดมีมติด้วยเสียงข้างมากแบบพิเศษ
แต่ก็มีมูลความผิดอีกตัวเรื่อง “ฟอกเงิน” ถูกเขียนไว้ใน มาตรา 21 วรรคสอง ของ พ.ร.บ.กรมสอบสวนคดีพิเศษ กำหนดว่าคดีในลักษณะในที่ดีเอสไอสามารถทำได้เอง และ “ความผิดฐานฟอกเงิน” ก็เป็นหนึ่งในคดีที่ดีเอสไอทำได้เลย ไม่ต้องรอผ่านมติ กคพ.
ซึ่งเชื่อว่าเรื่องนี้อาจถูกเตรียมไว้เป็นทางออกตั้งแต่แรกที่มีการเปิดข่าว เพราะหากจำได้ ทุกครั้งที่มีการพูดถึงจะมีเรื่องของการฟอกเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง และยิ่งหลังๆ ก็มีการเอ่ยถึง “เส้นเงิน” ที่โยงใยไปนักการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย
และที่บอกว่าเป็น “คนละครึ่ง” ไม่ใช่เพราะดีเอสไอรับไปทำเอง ซึ่งว่าตามจริง “ดีเอสไอ” จะรับไปทำเองก็ไม่ต้องผ่านมติบอร์ดก็ได้ แต่นี่มีการออกเป็นมติให้คล้ายกับเป็นการหนุนหลังว่านี่ไม่ได้โดยพลการแต่มีบอร์ดรับรองให้
ซึ่งทำให้สภาพหลังจากนี้ก็อยู่ในสถานการณ์คุมเชิง สว. ก็ยังคงทำงานได้ เพราะไม่ได้อยู่ในสถานะคนที่ผิดหรือถูกจับตาเป็นพิเศษ แต่ขณะเดียวกันจะสบายใจก็ไม่ได้เพราะดีเอสไอก็ยังจี้หลังด้วยคดีฟอกเงิน และที่สำคัญคือจากนี้ กกต. อาจต้องมีท่าทีอะไรพิเศษออกมาเพราะขืนปล่อยจอย ใส่เกียร์ว่างดีไม่ดีจะโดน ม.157
แต่ไม่ว่าอย่างไรยกนี้ก็ผ่านไปได้ทั้งคู่ แม้ไม่ได้ผ่านแบบชนะขาดแต่เป็นการผ่านในแบบโครงการ “คนละครึ่ง” ก็ตาม