ปฏิบัติการขย่มสภาสูง “จับโกง ฮั้วเลือก สว.” เขย่าพรรคสีน้ำเงิน

ปฏิบัติการขย่มสภาสูง “จับโกง ฮั้วเลือก สว.” เขย่าพรรคสีน้ำเงิน เกมการเมืองที่ต้องจับตา!

คอลัมน์ : ตีลังกาเล่าข่าว โดย กรรณะ

นาทีนี้ใครๆ เขาก็ลือกันให้แซ่ดว่า พรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสภาก็คือพรรค “สีน้ำเงิน” เพราะนอกจากจำนวน สส. ในสภาล่างที่ไม่น้อยหน้าใคร ยังกุมเสียงข้างมากในสภาสูงหรือวุฒิสภา

ทำให้น้ำเสียง และน้ำหนักในการเสนอคือคัดค้านเรื่องอะไร ดูจะหนักแน่นกว่าพรรคแกนนำรัฐบาลด้วยซ้ำไป และยิ่งหากเป็นมติ ที่ต้องใช้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาพวกเขาก็จะกลายเป็นเสียงใหญ่ที่สุด เพราะโดยมากเรื่องสำคัญสำคัญจะต้องใช้เสียง สว. อย่างน้อย 1 ใน 3  เช่นกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา

ต้องบอกว่าการออกแบบการเลือก สว. ในรัฐธรรมนูญ นั้นมีการออกแบบไว้ให้การเลือกค่อนข้างยาก และไม่ให้แนะนำตัว เลือกไขว้แล้วไขว้อีกเพื่อป้องกันการบล็อกโหวต แต่กลับปรากฏการกระทำอันข้อสงสัย เช่นการไปรวมกลุ่มของผู้สมัครที่โรงแรมตามจังหวัดต่างๆใกล้กรุงเทพฯ  การที่มีโพยหลุดออกมา รวมถึงในวันเลือกก็มีกลุ่มผู้สมัครใส่เสื้อสีเดียวกันมาเลือก และที่สุดผลการเลือกก็เป็นไปตามโพย ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะพยายามออกแบบให้มีการเลือกยากแค่ไหน แต่ปรากฏว่าคะแนนที่ออกมาในแต่ละกลุ่มจะมีความสัมพันธ์และเกาะกลุ่มกันอย่างชัดเจน ที่สำคัญคือคนที่เป็นที่รู้จักจากกลุ่มอาชีพกลับไม่ได้รับเลือกเข้ามา แต่คนที่ได้รับเลือกกลับถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นใครมาจากไหน ทำไมแม้ไม่เป็นที่รู้จักถึงได้คะแนนท่วมท้น

แน่นอนว่ามีผู้ตั้งข้อสงสัย แต่ก็ดูเหมือนว่า กกต. จะยังไม่ทำอะไร จนคนเริ่มทำใจว่าเรื่องนี้ที่สุดคงหายไปแบบเงียบๆ เพราะคนมีอำนาจกลับทำเหมือนไม่เดินหน้า แม้จะมีคนไปร้อง

ในอีกทาง บทบาทของเกมในสภาจาก สว. กลุ่มนี้ดูเหมือนจะชัดขึ้นเรื่อยๆ ยูนิฟอร์ม ยังเป็นสีเดิม และท่าทีความเคลื่อนไหวก็เป็นแบบกลุ่มก้อน มากกว่าจะเป็นอิสระ จนถูกขนานนามว่าเป็นอีกพรรคการเมือง ที่ทำงานควบคู่ไปกับ “พรรคสีน้ำเงิน” ในสภาล่าง

วันที่คลื่นใต้น้ำแรงขึ้นเรื่อยๆ ความไม่พอใจในบทบาทท่าทีของพรรคสีน้ำเงิน และพลังแฝงที่มี ต่อ สว. ก็มากขึ้น  แต่ก็ยังไม่มีใครคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาได้ เพราะความขัดแย้งของสภาล่างอาจป่ายขาไปไม่ถึงสภาสูง และพรรคแกนนำก็คงต้องตกเป็นเบี้ยล่างอยู่แบบนี้ต่อไป

หากจู่ๆ ก็มีปรากฏการณ์  “ดีเอสไอ” เตรียมรับคดีฮั้วเลือก “สว.” ที่หลายคนสงสัยเป็นคดีพิเศษ  ซึ่ง “ดีเอสไอ” ที่ว่าปัจจุบันมีผู้บังคับบัญชาคือ “ทวี สอดส่อง”  รมว. ยุติธรรม ซึ่งถูกมองมาแต่เนิ่นนานว่าว่าเป็นสายตรงจากบ้านหลังหนึ่ง  และที่ผ่านมาในการทำภารกิจก็ไม่เคยต้องผิดหวัง 

แต่ที่ชีวิตของ “ทวี สอดส่อง” มาถึงที่นี่ได้ไม่ใช่เพราะทำตามนาย แต่เป็นเพราะความสามารถ และเคยเป็นถึงอธิบดี “ดีเอสไอ”  ดังนั้นเรื่องงานสอบสวน เรื่องหาข้อมูล การรวบรวมข้อมูล และการฉายภาพจึงไม่ใช่เรื่องใหม่หรือเรื่องยากสำหรับเขา

เมื่อ  สว. กลุ่มใหญ่ที่อาจจะเข้าข่ายเรื่องนี้ทราบเรื่องก็ตั้งโต๊ะแถลงใหญ่ ถามถึงอำนาจของ “ดีเอสไอ”  โดยระบุว่าการสอบสวนเรื่องการเลือกที่อาจจะไม่สุจริตหรือไม่เป็นธรรมน่าจะเป็นหน้าที่ของ กกต. มากกว่า “ดีเอสไอ”

ทำให้ “ทวี สอดส่อง” ให้สัมภาษณยืนยันว่า การเลือกที่ไม่เป็นธรรมอาจเป็นหน้าที่ของ กกต. แต่กับคดีอาญาอื่นที่มีลักษณะการกระทำเป็นกระบวนการ มีผลกระทบต่อสังคม เป็นผู้ทรงอิทธิพล ก็จะสามารถเข้าเป็นคดีพิเศษได้

แปลง่ายๆ ว่า เรื่องเลือกตั้งไม่สุจริต กกต. คุณก็รับไป แต่หากมีการทำเป็นกระบวนการ มีลักษณะเป็นผู้มีอิทธิพล “ดีเอสไอ” ก็มีอำนาจที่ทำเรื่องนี้

และต่อมา ก็มี “เอกสารหลุด” ที่ ดีเอสไอทำถึง กกต. อ้างพฤติการณ์ของผู้กระทำว่า “มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรม มีการแบ่งแยกหน้าที่ มีฝ่ายไอทีเตรียมโปรแกรมคำนวณการลงคะแนน ออกเป็นโพยฮั้วเพื่อให้ได้ผลลัพธ์จำนวนสมาชิกวุฒิสภาตามที่ต้องการ เตรียมบุคคลที่มาลงคะแนนที่เรียกว่ากลุ่ม “พลีชีพ”

ดังนั้น ในการดำเนินการกับขบวนการดังกล่าว จึงต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนเป็นพิเศษ ซึ่งอยู่ในเงื่อนไขตามกฎหมายที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะรับดำเนินการสอบสวนเป็นคดีพิเศษได้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงประสงค์ที่จะรับดำเนินการสอบสวนในส่วนที่พบการกระทำผิดทาง อาญาไว้ดำเนินการ

และก็มีการระบุพฤติการณ์ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เคยเป็นข่าวแต่คราวนี้มีการรวบรวมอย่างเป็นรูปธรรมและมีหลักฐานที่ชัดขึ้น เช่นมีการบอกว่าหลังจากได้รับคำร้อง ก็รวบรวมหลักฐาน บันทึกถ้อยคำ พยาน เอกสาร โพย  คนฮั้ว ผลการสืบสวนและบอกว่าปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีคณะบุคคล จัดตั้งเครือข่าย มีวัตถุประสงค์เพื่อฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ และ กฎหมายเลือก สว.

โดยจัดการให้มีผู้สมัคร ในระดับอำเภอกลุ่มละ 5 คน รวม 100 คน ทำให้บางจังหวัดมีผู้สมัครเป็นจำนวนมาก และจ่ายค่าตอบแทนระดับอำเภอ 5,000 บาท ระดับจังหวัด 10,000 บาท ระดับประเทศ 40,000 – 100,000 บาท และหากได้ สว. มากกว่า 120 คน จะได้มากกว่า 100,000 บาท

ซึ่งก่อนวันเลือกระดับประเทศก็ระบุว่ามีการไป “เก็บตัวฮั้ว” ที่ “อยุธยา –  ปทุมธานี  –  นครนายก” และจ่ายมัดจำ 20,000 บาท ส่วนที่เหลือจะจ่ายให้หลัง กกต. รับรอง

เมื่อถึงวันเลือกระดับประเทศ ก็แจกเสื้อสีเหลืองให้ผู้สมัครที่อยู่ในขบวนการ มีการจัดหารถตู้โดยสารรับส่ง ก่อนที่ผลจะออกมาเป็นไปตามโพยฮั้ว ทุกประการ

ซึ่งโพยก็ระบุว่ามีสองชุด กลุ่มละ 7 คน และมี 20 กลุ่ม รวมมีโพยฮั้ว 140 คน และมีคนที่อยู่ในขวบนการ 1,200 คน  ซึ่งผลปรากฏว่าในโพย 140 คน ได้รับเลือก 138 คน และ อยู่ในลำดับสำรอง 2 คน

เรียกได้ว่าเปิดถึงขนาดนี้ แปลว่า “ดีเอสไอ” มีหลักฐานชัด ทั้งโพย ทั้งภาพ รวมถึงภาพรถรับส่งที่มีทะเบียนจากจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน

แต่ที่น่าสนใจคือ มีการระบุด้วยว่า “อาจมีพยานที่ต้องเข้ารับการคุ้มครองพยาน”  แปลว่าตอนนี้มีพยานแล้ว และที่สำคัญคืออาจเป็นการส่งสัญญาณว่า ใครที่อยู่ในขบวนการซึ่งอาจหมายถึงปัจจุบันเป็นหนึ่งใน สว.  หากไม่อยากตกเป็นผู้ต้องหาก็ให้หันกลับมามอบข้อมูลเสียดีๆ

ที่แน่ๆ ตอนนี้ใน สว. คงระส่ำระสายไม่น้อย เพราะข้อกล่าวหานี้เป็นข้อกล่าวหาที่หากเอากันให้สุดก็ถึงขั้นติดคุก และที่สำคัญกับคำว่า  “หวังให้ได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ” แปลความว่าอาจเป็นการทำให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองที่ไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ หรือ แปลว่า “ล้มล้างการปกครอง” นั่นเอง ข้อกล่าวหานี้ร้ายแรงแค่ไหน ถาม “ก้าวไกล” และ “อนาคตใหม่” ในอดีตดู

ทำให้ สว. หลายคนซึ่งว่ากันตามจริงก็คือมือใหม่ทางการเมือง  ไม่ได้เก๋าเกม หรือจิตแข็งก็ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเลือกทางปลอดภัย หรืออย่างน้อยก็อาจจะเลิกเส้นทางเดินที่ไปในแนวทางเดียวกับพรรคสีน้ำเงิน ซึ่งอาจจะทำให้การเดินเกมการเมืองของบางพรรคการเมืองง่ายขึ้น

นี่อาจเป็นเป้าหมายใหญ่ของภารกิจครั้งนี้  แต่บอกเลยว่างานนี้ไม่น่าหมู เพราะหากการฮั้วเป็นเรื่องจริง เรื่องนี้ก็มี “มาสเตอร์มายด์” ระดับอัจฉริยะที่ไม่น่าจะจนแต้มด้วยเรื่องง่ายๆ

ที่แน่ๆ งานนี้เกมการเมืองอย่างน้อยถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยน ความตึงเครียดก็จะยิ่งเขม็งเกลียวขึ้นไปอีก