สถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ หลายจังหวัดยังคงน่าเป็นห่วงค่ะ หลังจากวานนี้ (13 ม.ค.68) มีรายงานว่า ที่ จ.สุราษฎร์ธานี เกิดคลื่นลมแรงประกอบกับทะเลสูง 3-4 เมตร ซัดเข้าฝั่ง ทำให้บ้านเรือนราษฎรเสียหายกว่า 7 อำเภอ ขณะ จ.นครศรีธรรมราช ก็หนักไม่แพ้กันชาวบ้านได้รับผลกระทบเพียบ บางพื้นที่จัดงานศพอยู่ดีๆ ถึงขั้นต้องหอบหีบศพหนีน้ำ
ล่าสุด วันนี้ (14 ม.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ใน จ.นครศรีธรรมราช ได้รับผลกระทบแล้ว 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลแหลมตะลุมพุก ตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก ตำบลท่าพยา และตำบลขนาบนาก เส้นทางสายหลัก(สายปากพนัง – หัวไทร) , (ปากพนัง – แหลมตะลุมพุก) มีน้ำท่วมขังและเศษขยะในทะเลเกลื่อนถนน โดยได้มีการช่วยเหลืออพยพผู้ประสบภัยออกจากพื้นที่เสี่ยงแล้ว
โดยนายสมชาย ลีหล้าน้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์คลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทยอย่างใกล้ชิด และได้กำชับให้ นายอำเภอบูรณาการสรรพกำลังจากทุกภาคส่วน เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน และรายงานเหตุการณ์ให้จังหวัดนครศรีธรรมราชทราบโดยทันทีซึ่งอำเภอปากพนังได้ตั้งศูนย์บัญชาการฯ ณ ห้องประชุมทับทิมสยาม ที่ว่าการอำเภอปากพนัง
จากเหตุการณ์ดังกล่าว มีครัวเรือนเสียหาย รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,725 ครัวเรือน ได้แก่
1.ตำบลแหลมตะลุมพุก จำนวน 750 ครัวเรือน
2.ตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก จำนวน 400 ครัวเรือน
3.ตำบลท่าพญา จำนวน 200 ครัวเรือน
4.ตำบลขนาบนาก จำนวน 375 ครัวเรือน
โดยวานนี้ (13 ม.ค.68) เวลา 12.30 น. ได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เนื่องจากสถานการณ์น้ำขึ้น น้ำลง แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ต่อเนื่องอีก 2-3 วัน
ด้านนายกิตติพงษ์ รองเดช นายอำเภอปากพนัง ได้นำทีม ลงพื้นที่ 4 ตำบลที่ได้รับความเสียหาย พบว่าคลื่นในทะเลสูงประมาณ 2-3 เมตร โดยคลื่นได้ซัดเข้าฝั่งในพื้นที่ หมู่ 1 หมู่ที่ 2 และ หมู่ที่ 3 ต.แหลมตะลุมพุก เข้าท่วมบริเวณบ้านเรือนประชาชนอยู่อาศัย และไหลท่วมถนนสายแหลมตะลุมพุก -ปากพนัง-หัวไทร ทำให้การสัญจรค่อนข้างลำบาก ทั้งนี้ ไม่มีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ และได้ขนของขึ้นไว้ที่สูงทันที ซึ่งประชาชนได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ตำบลแหลมตะลุมพุก หมู่ที่ 1,2,3 จำนวน 750 ครัว 1,500 คน เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้ติดตามและเฝ้าระวังในพื้นที่
ในขณะที่แกนนำชาวบ้านอย่าง นายไพโรจน์ สมาชิกสภาเกษตรกร จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วย นายบุญโชค ขำปราง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก นายประยุทธ์ ฐานะวัฒนา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแหลมตะลุมพุก รวมทั้งชาวบ้านทุกคน พยายามเรียกร้องให้รัฐบาล ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และดำเนินการก่อสร้างแนวคันกั้นคลื่นในจุดที่เหลืออย่างเร่งด่วนที่สุด ก่อนที่ไม่เกิน 2 ปีคลื่นยักษ์ที่พัดกัดเซาะถนนจะไปถึงแหลมตะลุมพุก และถูกตัดขาดจากแผ่นดินใหญ่ โดยการก่อสร้างติดระเบียบข้อกฎหมายใหม่ที่ประกาศใช้เมื่อปี 2566 ต้องผ่าน การทำ EIA ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา 3-4 ปี กว่าจะผ่านขั้นตอนเสร็จสิ้น ในขณะที่ ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างมากในทุกปีจากเหตุการณ์อุทกภัยนี้
ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา ยังได้ประกาศเรื่อง ฝนตกหนักบริเวณภาคใต้ และคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทย (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 15-18 มกราคม 2568) ฉบับที่ 1 (13/2568)
ในช่วงวันที่ 15-18 มกราคม 2567 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย
‘อีจัน’ ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ประสบภัยและเจ้าหน้าที่ทุกคนค่ะ
