เค้นหนัก! ตร.เร่งสอบ 93 ผู้ต้องหาแก๊งคอลฯปอยเปต โยง 46 คดี มีผู้เสียหายแจ้งความในไทย 

ตำรวจไซเบอร์ เร่งสอบ 93 ผู้ต้องหา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เชื่อมโยง 46 คดี ที่ผู้เสียหายแจ้งความในไทย จ่อออกหมายจับ 2 เยาวชน สมัครใจร่วมองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ชี้ นี่แค่ส่วนหนึ่ง ยังมีผู้ต้องหาหลบหนีอีกหลัก 1,000 คน

ไม่ปล่อยไว้! ตร. เร่งสอบ  93 รายขบวนการคอลเซ็นเตอร์ เชื่อมโยง 46 คดี ที่มีการแจ้งความในไทย พบ ผู้ต้องหาบางรายโพสต์โซเชียลหางานสีเทาด้วยตนเอง 

หลังจากวานนี้ (3 มี.ค.68) ตำรวจไซเบอร์  ออกหมายจับ คนไทยกว่า 100 ราย ที่สมัครใจเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในปอตเปต  

เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้  (4 มี.ค. 68) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พล.ต.ต.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ ผบก.อก.สอท. พ.ต.อ.ชัยรัตน์ วรุณโณ รอง ผบก.สอท.2 เปิดเผยถึงกรณีคุมตัวผู้ต้องหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาสอบปากคำ ระบุว่า  

เมื่อคืนได้นำตัวผู้ต้องหาที่แจ้งข้อกล่าวหาและแจ้งการจับกุมตามหมายจับทั้งหมด 93 คน จากหมายจับทั้งหมด 102 หมายจับ โดยเป็นหมายจับของบอสชาวจีน 2 หมาย ซึ่งได้มีการหลบหนีไปแล้ว ส่วนใน 100 หมายจับ เป็นผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้ 7 คน ทำให้เหลือผู้ต้องหา 93 คนขณะนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นผู้หญิง 48 คน ผู้ชาย 45 คน แยกไปคุมตัวไว้ที่สภ.ปากเกร็ด สภ.เมืองนนทบุรี และสน.ทุ่งสองห้อง  

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ได้เปิดเผยอีกว่า มีแก๊งคอลฯจำนวน 119 คน ที่ทางการกัมพูชาส่งตัวจากปอยเปตกลับมาที่ประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมานั้น แต่ไม่ถูกออกหมายจับ 19 คน แยกเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี 4 คน ซึ่งจากการสอบสวนน่าจะมี 2 คนที่เข้าข่ายความผิดมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ส่วนอีก 15 คน ยังไม่พบว่าเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพราะถูกจับกุมคนละที่ แต่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันประเทศกัมพูชา

ซึ่งในการออกหมายจับครั้งนี้มีพยานหลักฐานหลายส่วน ทั้งข้อมูลการสืบสวนจากระบบไทยโปลิสออนไลน์ที่มีผู้เสียหายคนไทยมาแจ้งความ 46 เคสไอดี มูลค่าความเสียหายหลาย 10 ล้านบาท ซึ่งข้อมูลการสืบสวนของตำรวจภูธรภาค 2 รวมถึงข้อมูลการสืบสวนของทางการประเทศกัมพูชา และข้อมูลจากการซักถามผู้ต้องหาในเบื้องต้น ผู้ต้องหาบางรายให้ความร่วมมือที่จะให้การ และทั้งหมดพบว่าเป็นพนักงานระดับล่างซึ่งมีล่ามอยู่หนึ่งคน  

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยังเปิดเผยอีกว่า จากการสอบถามเบื้องต้นพบพฤติกรรมขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ต้องการไปทำงานที่ประเทศกัมพูชา บางคนโพสต์ในโซเชียลว่าต้องการหางานสายสีเทาโดยเฉพาะ และพบการเข้าออกประเทศหลายสิบครั้งต่อคน ซึ่งพบว่ากลุ่มคนนี้จะทำงานอยู่ภายในบริเวณที่เรียกกันว่า “พลูตาสวน” เป็นอาคารหลังเดียว แต่ภายในจะแบ่งเป็นห้องย่อยๆมีมากกว่า 20 ห้อง ซึ่งแต่ละห้องจะถูกเรียกว่าออฟฟิศ และจะใช้ทำการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ โดยมีผู้ต้องหาบางรายรับสารภาพว่า จะปลอมเป็นเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลาง เพื่อไปหลอกเอาเงินบำนาญคนที่เกษียณอายุราชการ และปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ไฟฟ้า ว่าจะได้รับเงินคืนหรือส่วนลดค่าไฟฟ้า โดยให้เหยื่อติดตั้งแอปพลิเคชันดูดเงิน หรือควบคุมโทรศัพท์ผ่านทางลิงค์   

ทั้งนี้ ผู้ต้องหาที่ถูกจับเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น  เพราะยังมีผู้ต้องหาที่หลบหนีไปจำนวนหลัก 1,000 คน มีทั้งคนไทย อินเดีย และอินโดนีเซีย  ส่วนกลุ่มบอสชาวจีน จากการสอบปากคำผู้ต้องหา ให้การว่าตึกที่เข้าจับกุมมีชาวจีนประมาณ 20 คน ที่จะหมุนเวียนกันเข้ามาในแต่ละออฟฟิศ เพื่อมาดูงานและสั่งการผ่านล่าม แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นบอสใหญ่สุด ส่วนจะเกี่ยวข้องกลุ่มทุนจีนสีเทาในไทยหรือไม่นั้นต้องรอดูผลการสืบสวนสอบสวนอีกครั้ง โดยในวันพรุ่งนี้จะทำการฝากขังผู้ต้องหาทั้งหมดที่ศาลอาญารัชดาในช่วงบ่าย 

เบื้องต้น จะดำเนินการแจ้งข้อหา “การมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, เป็นอั้งยี่ซ่องโจร, ร่วมกันนำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน”  

หากมีความคืบหน้า จะอัปเดตให้ทราบอีกครั้งค่ะ