ยิ้มกันไว้! “ไทย” รั้งอันดับ 49 “ประเทศมีความสุขที่สุดในโลก”

World Happiness Report สรุปรายงานวัดระดับความสุขของทุกประเทศทั่วโลก ด้าน “ประเทศไทย” รั้งอันดับ 49 ของโลก – อันดับ 1 เป็นของฟินแลนด์เจ้าเก่า

วันนี้ (21 มี.ค. 68) เว็บไซต์ World Happiness Report จัดอันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก โดยใช้ข้อมูลจาก Gallup World Poll จากผู้คนในกว่า 140 ประเทศ ตามการประเมินชีวิตด้วยตนเองโดยเฉลี่ย ในช่วงปี 2022-2024 พิจารณาจาก 6 ตัวแปร 1. การสนับสนุนทางสังคม 2. รายได้ 3. อายุขัยที่มีสุขภาพดี 4. เสรีภาพในการตัดสินใจชีวิต 5. ความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ 6. การรับรู้เรื่องการทุจริต

ซึ่งผลโพลในครั้งนี้ ชี้ชัดว่า ประเทศฟินแลนด์ ยังคงรักษาอันดับ 1 ไว้ได้เป็นเวลา 8 ปีติดต่อกัน ตามมาด้วยอันดับ 2 อย่างประเทศเดนมาร์ก, ไอซ์แลนด์, สวีเดน, เนเธอร์แลนด์ ตามลำดับ ขณะที่มหาอำนาจของโลก อย่างประเทศสหรัฐอเมริกา หล่นมารั้งอันดับที่ 24 ท่ามกลางสถานการณ์ในประเทศอันวุ่นวาย ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง และการลงคะแนนเสียงต่อต้านระบบ 

จอห์น เฮลลิเวลล์ บรรณาธิการผู้ก่อตั้ง World Happiness Report กล่าวว่า “เพื่อนร่วมชาติของเรามีสิ่งดี ๆ มากกว่าที่พวกเขาคิด และการตระหนักถึงสิ่งนี้จะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็จะเปลี่ยนวิธีที่คุณคิดเกี่ยวกับเพื่อนบ้านของคุณด้วย”

“ดังนั้น คุณจึงมีแนวโน้มที่จะคิดถึงคนแปลกหน้าบนท้องถนนว่าเป็นเพียงเพื่อนที่คุณไม่เคยพบเจอ และไม่ใช่ใครก็ตามที่เป็นภัยคุกคามต่อคุณ” เฮลลิเวลล์กล่าว 

ขณะเดียวกัน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Asean) ประเทศสิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับสูงสุดในปี 2025 โดยอยู่ในอันดับที่ 32 ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 49, มาเลเซียอันดับที่ 57, ฟิลิปปินส์อันดับที่ 58 และอินโดนีเซียอันดับที่ 83

แจน-เอมมานูเอล เดอ เนฟ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความเป็นอยู่ที่ดีของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และบรรณาธิการรายงานความสุขโลกประจำปี 2025 กล่าวว่า “รายงานของปีนี้ผลักดันให้เรามองไกลเกินกว่าปัจจัยกำหนดแบบเดิมๆ เช่น สุขภาพและความมั่งคั่ง ปรากฏว่าการรับประทานอาหารร่วมกันและการไว้วางใจผู้อื่นเป็นปัจจัยทำนายความเป็นอยู่ที่ดีได้ดีกว่าที่คาดไว้เสียอีก”

สำหรับ World Happiness Report เป็นรายงานวัดระดับความสุขของประชากรในแต่ละประเทศ ซึ่งมีการเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 2 เมษายน 2012 โดย UN Sustainable Development Solutions Network (SDSN)

ขอบคุณข้อมูล : CNBC