
เรื่องจริงยิ่งกว่าละคร เด็กแรกเกิดถูกสลับตัว จนต้องมีการตรวจดีเอ็นเอ และพบว่าไม่ใช่ลูกตัวเอง
ล่าสุดวันนี้ (16 ก.ย.67) เวลา 10.00 น. นายแพทย์สุรวิทย์ ศักดานุภาพ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมด้วยผู้อำนวยการโรงพยาบาล รองผู้อำนวย และหัวหน้าฝ่ายการพยาบาลของโรงพยาบาลที่เกิดเหตุสลับตัวเด็ก ได้ร่วมกันให้ข้อมูลและชี้แจงเหตุ “สลับตัวเด็กทารก” หลังจากที่พ่อของเด็ก โพสต์ลงบนโซเชียลว่า “ลูกน้อยที่เพิ่งคลอด ถูกโรงพยาบาลสลับตัวทารก พอตรวจดีเอ็นเอพบว่าไม่ใช่ลูกตัวเอง”
ซึ่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร บอกว่า ในเรื่องดังกล่าวเป็นเหตุผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจริง ทางโรงพยาบาลได้ออกมายอมรับผิด และขอแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้มีการพูดคุยกับทางพ่อของเด็กที่เป็นคนไปไทยไปแล้วครั้งหนึ่ง และยังได้มีการนัดทั้ง 2 ครอบครัว มาเจรจาถึงความชัดเจนกันอีกครั้งเกี่ยวกับการเยียวยาทั้งหมดตามที่มีการร้องขอมา

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวอีกว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อประมาณกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเด็กแรกเกิดทั้ง 2 ราย เป็นบุตรของครอบครัวคนไทย กับชาวเมียนมา และเด็กทั้ง 2 ราย มีอาการป่วยต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อฯ จึงได้รับไว้ในตึกผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ซึ่งช่วงที่ทำการรักษามีเด็กที่ป่วยทั้งหมดกว่า 10 ราย ส่วนเหตุที่ทำให้เกิดการสลับตัวนั้น จากการสอบถามผู้ดูแลเด็กและหัวหน้าตึกก็พอสรุปได้ว่า เด็กทั้ง 2 รายมีอาการติดเชื้อและจำเป็นต้องให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือด กับให้น้ำเกลือ ดังนั้นช่วงที่มีการดูแลด้วยหัตถการทั้งการให้น้ำเกลือและการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเด็กอ่อน จึงต้องมีการตัดสายรัดข้อมือออก และนี่เองอาจจะทำให้เกิดการผิดพลาดขึ้นจนนำมาสู่การสลับตัวเด็กดังกล่าว
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ทางโรงพยาบาลรับทราบข้อมูลจากบิดาของเด็กไทยและร้องขอให้มีการตรวจ DNA เด็กนั้น ทางโรงพยาบาลฯ ก็ดำเนินการให้ทันที ซึ่งผลที่ออกมาครั้งแรกเป็นไปตามที่พ่อเด็กไทยสงสัย คือ มีการสลับตัวเด็กเกิดขึ้นจริง จากนั้นก็ได้มีการตามหาตัวเด็กทารกที่สลับกันพบและส่งคืนให้พ่อกับแม่ตัวจริง อีกทั้งยังได้มีการส่งไปตรวจ DNA ซ้ำเพื่อยืนยันความชัดเจนอีกครั้งที่โรงพยาบาลรามาฯ ซึ่งผลก็ออกมาเป็นการยืนยันว่ามีการสลับตัวเด็กจริงๆ และเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากทางโรงพยาบาล ซึ่งทางโรงพยาบาลก็ยินดีที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมถึงการเยียวยาดูแลรักษาให้บริการทางการแพทย์ในระยะยาวแก่เด็กทั้ง 2 คน อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน นอกจากนี้ยังพร้อมที่มอบเงินเพื่อเยียวยาสิ่งที่เกิดขึ้นตามที่ทางผู้ปกครองของเด็กไทยได้มีการร้องขอมาด้วย ซึ่งก็จะได้มีการนัดหมายทั้ง 2 ครอบครัวมาชี้แจงทำความเข้าใจที่ชัดเจนกันต่อไป

ส่วนเรื่องความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้น ทางโรงพยาบาลได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบหาข้อเท็จจริง โดยได้มีการทบทวนมาตรการและกำหนดแนวทางในการเพิ่มความปลอดภัยแก่เด็กทารก ซึ่งมาตรการป้องกันด้วยการใช้สายรัดเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ จะต้องมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มและสามารถตรวจสอบได้ทุกมุม รวมถึงยังได้มีการเน้นย้ำกับทางเจ้าหน้าที่เองก็ต้องมีความรอบคอบรัดกุมในการดูแลแยกแยะเด็กแรกเกิดให้มากกว่านี้ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำได้อีก