วันนี้ (7 ต.ค. 63) นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระบุว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการ " ช้อปดีมีคืน " เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ สนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี ส่งเสริมการผลิตสินค้าท้องถิ่น และส่งเสริมการอ่าน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ภาพจากอีจัน
รวมถึงยังเห็นชอบขยายเวลามาตรการเราเที่ยวด้วยกันไปจนถึง 31 ม.ค. 64 และได้มีการปรับเงื่อนไขบางประการเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทาง และใช้สิทธิโครงการให้มากขึ้น ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภค แบ่ง 3 กลุ่มหลัก ดังนี้ 1. การช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 14 ล้านคน เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ ต.ค. – ธ.ค. 2563 วงเงิน 21,000 ล้านบาท 2. โครงการคนละครึ่ง โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการกว่า 2 แสนราย ซึ่งจะมีผู้ได้รับสิทธิ 10 ล้านคน รัฐบาลสนับสนุนในวงเงิน 3 หมื่นล้านบาท และอีกครึ่งหนึ่งเป็นวงเงินจากผู้ได้รับสิทธิ 3 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 6 หมื่น ล้านบาท รวมทั้งหมดแล้วจะมีเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจ 8.1 หมื่นล้านบาท 3. มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” เพื่อให้กลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือกลุ่มผู้ประกอบการสามารถลดหย่อนภาษี เงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2563 เมื่อใช้จ่ายถึง 3 หมื่นบาท ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี สำหรับประชาชนซื้อสินค้าและบริการให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 30,000 บาท สามารถที่จะไปลดหย่อนภาษีได้ โดยมาตรการจะมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563 เพื่อใช้ลดหย่อนภาษีในปีภาษี 2563 ในเดือนมีนาคม 2564 
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
คาดว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม – ธันวาคม จะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจกว่า 2 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการได้ประคับประคองธุรกิจ ช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่ยังได้รับความเดือดร้อน ทั้งนี้ในส่วนของโครงการคนละครึ่ง และช้อปดีมีคืน ประชาชนต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง