สดร. เผย วัตถุประหลาดที่พบในแม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ไม่ใช่อุกกาบาต

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เผย วัตถุประหลาดที่พบในพื้นที่ อ.แม่แจ่ม ไม่ใช่อุกกาบาต คาดเป็นหินภูเขาไฟ

จากกรณีที่มีชาวบ้านพากันค้นหาหินอุกกาบาตในพื้นที่ป่าชุมชนเขตติดต่อหมู่บ้านแม่สะต๊อก บ้านนาฮ่อง ต.แม่ศึก อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ หลังจากเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2563 มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งพบเห็นลำแสงพุ่งตกจากฟ้าลงมาในบริเวณดังกล่าว โดยได้สันนิษฐานกันว่าเป็นอุกกาบาตและพากันออกตามหา ก่อนพบกับวัตถุประหลาดขนาดเท่าลูกฟุตบอล จากนั้นทาง อ.แม่แจ่ม จึงนำวัตถุดังกล่าวส่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง

ภาพจากอีจัน


เกี่ยวกับเรื่องนี้ (26 กันยายน 2563) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เผยว่า จากหลักฐานที่รวบรวมได้ พบว่าวัตถุที่พบมีลักษณะเป็นรูพรุน น้ำหนักเบากว่าหินและโลหะทั่วไป รูปร่างคล้ายวัตถุที่ถูกเผาไหม้ด้วยความร้อนจนหลอมละลายแล้วเย็นตัวลง หลังจากสังเกตและวิเคราะห์ด้วยลักษณะทางกายภาพ เบื้องต้นคาดว่า ไม่ใช่หินอุกกาบาต

เนื่องจาก ลักษณะของอุกกาบาตจะไม่เป็นรูพรุน อาจเป็นไปได้ว่าจะเป็นหินประเภทหินอัคนีพุ (Extrusive Rock) หรือหินภูเขาไฟ (Volcanic Rock) ที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วในอดีต เกิดจากการเย็นตัวและตกผลึกของลาวาเหลวพวกที่มีไอน้ำ แก๊สและสารละลายอื่น ๆ ปนอยู่มาก เมื่อลาวาขึ้นมาบนผิวโลกและเย็นตัวลง ฟองแก๊สเหล่านี้จึงทำให้เกิดโพรง ดูเป็นรูพรุนคล้ายฟองน้ำ

ภาพจากอีจัน


นอกจากนี้ จากข้อมูลแผนที่ธรณีวิทยาของพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า หินอัคนีสามารถพบได้ในหลายพื้นที่ รวมทั้งบริเวณ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ด้วย

สำหรับประเด็นเรื่องลำแสงพุ่งตกจากฟ้าในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนั้น คาดว่าเป็นดาวตก โดยปกติเราสามารถสังเกตเห็นดาวตกได้ในทุกคืน เนื่องจากในอวกาศมีเศษฝุ่นละอองที่ดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางเหลือทิ้งไว้ในวงโคจร เมื่อโลกโคจรตัดผ่านเข้าไปในบริเวณที่มีเศษฝุ่นดังกล่าว จะดึงดูดเศษฝุ่นเหล่านี้เข้ามาในชั้นบรรยากาศ เกิดการลุกไหม้เป็นแสงสว่างวาบบนท้องฟ้า จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีโอกาสสังเกตเห็นได้ ซึ่งในเดือนสิงหาคม เป็นช่วงที่มีปรากฏการณ์ฝนดาวตกเพอร์เซอิดส์ (Perseids Meteor Shower) หรือฝนดาวตกวันแม่พอดี การที่มีผู้พบเห็นลำแสงดังกล่าวประกอบกับพบวัตถุปริศนา จึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอุกกาบาต ทั้งนี้ ได้แนะนำวิธีพิจารณาวัตถุต้องสงสัยเบื้องต้นจากรูปพรรณสัณฐาน ดังนี้

ภาพจากอีจัน


1. สังเกตรูปร่างของวัตถุ รูปทรงของอุกกาบาตส่วนใหญ่จะมีลักษณะไม่สมมาตร เนื่องจากขณะที่วัตถุเคลื่อนที่ผ่านชั้นบรรยากาศจะเกิดความร้อนสูง ส่งผลให้รูปร่างของอุกกาบาตเปลี่ยนไป จากรูปทรงกลมหรือเกือบกลม กลายเป็นรูปทรงไม่สมมาตร
2. สังเกตจากสีผิวชั้นนอกของวัตถุ ผิวของอุกกาบาตที่เพิ่งตกลงบนพื้นโลกจะเป็นสีดำสนิท แต่หากเป็นอุกกาบาตที่ตกอยู่บนพื้นโลกเป็นเวลานานแล้ว จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นสีที่เกิดขึ้นจากสนิม
3. สังเกตจากลักษณะของผิวชั้นนอก ลักษณะผิวของอุกกาบาต โดยเฉพาะอุกกาบาตหินจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากหินทั่วไปคือมี “เปลือกหลอม” (fusion crust) เป็นเปลือกบาง ๆ สีดำประกาย เกิดจากการเผาไหม้ขณะอยู่ในชั้นบรรยากาศ และมักจะมีสีเข้มกว่าหินทั่วไป ส่วนอุกกาบาตเหล็กจะมีสีดำคล้ำและมีร่องรอยปรากฏเป็นร่องหลุมโค้งเว้า (regmaglypt) คล้าย ๆ กับรอยนิ้วโป้งที่เรากดลงบนก้อนดินน้ำมัน
4. ก้อนวัตถุต้องสงสัยต้องไม่มีรูพรุน หรือฟองอากาศอยู่ด้านในเด็ดขาด เนื่องจากอุกกาบาตทุกประเภทก่อตัวขึ้นในอวกาศ ซึ่งในสภาพแวดล้อมนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่อุกกาบาตจะก่อตัวแล้วมีรูพรุน หากพบก้อนวัตถุที่มีลักษณะรูพรุนอาจจะเป็นตะกรันโลหะจากกระบวนการทางอุตสาหกรรม หรืออาจจะเป็นหินบางประเภทที่พบบนพื้นโลก เช่น หินสคอเรีย (Scoria) เป็นหินภูเขาไฟ มีน้ำหนักเบาสามารถลอยน้ำได้ หรือหินไบโอไทต์ (Biotite) เป็นแร่ชนิดสีดำที่พบได้ทั่วไปในหินอัคนี
5. ตรวจสอบด้วยแม่เหล็ก โดยทั่วไปอุกกาบาตเกือบทุกประเภทจะดูดติดกับแม่เหล็กได้ หากวัตถุนั้นไม่ดูดติดกับแม่เหล็กก็ค่อนข้างมั่นใจได้ว่าไม่ใช่อุกกาบาต แต่ถึงแม้วัตถุสามารถดูดติดแม่เหล็กได้ก็ไม่ได้หมายความว่ามันคืออุกกาบาต 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็สามารถสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่าอาจจะเป็นอุกกาบาต

ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน