วิจัยชี้สวมแมสก์ ในที่สาธารณะ ช่วยลดการระบาดโควิด-19

วิจัยของสหรัฐฯ คอนเฟิร์ม! สวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ลดลง

4 ส.ค. 63 สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า งานวิจัยที่เผยแพร่โดยสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น (CNN) ระบุว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในชุมชนสหรัฐฯ ที่ประกาศใช้ข้อบังคับสวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่สาธารณะนั้น มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

ภาพจากอีจัน

คณะวิจัยจากสาขาวิชานโยบายและการจัดการสุขภาพแห่งวิทยาลัยสาธารณสุขมหาวิทยาลัยไอโอวา (University of Iowa College of Public Health) รายงานในวารสารกิจการสุขภาพ (Health Affairs) ว่า อัตราการเพิ่มขึ้นรายวันของโรคโควิด-19 ลดต่ำลงไม่ถึงร้อยละ 1 หลังปรับใช้ข้อบังคับสวมหน้ากากอนามัยเป็นเวลา 5 วัน และชะลอลงราวร้อยละ 2 หลังผ่านไป 21 วัน

รายงานระบุว่า ผู้ว่าการใน 15 รัฐของสหรัฐฯ และนายกเทศมนตรีกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ร่วมลงนามคำสั่งบังคับสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะระหว่างวันที่ 8 เม.ย. จนถึง 15 พ.ค. ขณะที่คณะวิจัยได้ศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงด้านอัตราการเติบโตรายวันของโรคโควิด-19 ในระดับเทศมณฑล ตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค. จนถึง 22 พ.ค.

นอกจากนี้ คณะวิจัยยังได้คาดการณ์จำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการปกป้องไม่ให้ติดโรคโควิด-19 หลังปรับใช้ข้อบังคับสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ โดยเปรียบเทียบยอดผู้ป่วยสะสมรายวันที่เกิดขึ้นจริงกับจำนวนผู้ป่วยรายวันที่คาดการณ์โดยแบบจำลองในกรณีที่ไม่มีรัฐใดประกาศใช้ข้อบังคับดังกล่าวในช่วงเวลาเดียวกันกับข้างต้น

ทั้งนี้ แบบจำลองชี้ให้เห็นว่าข้อบังคับดังกล่าวอาจช่วยป้องกันผู้ป่วยจากโรคโควิด-19 ได้สูงถึง 230,000-450,000 ราย เมื่อนับถึงวันที่ 22 พ.ค. 63