ตร. ยัน หมอฟันไม่ได้ใช้โคเคนรักษา บอส อยู่วิทยา

ตำรวจ แถลงยืนยัน หมอฟันให้ยาบรรเทาอาการอักเสบกับบอส อยู่วิทยา แต่ไม่มีส่วนผสมของสารเสพติด

เป็นประเด็นที่สังคมยังคาใจ หลังอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ทายาทกระทิงแดง ในทุกข้อกล่าวหา โดยที่คณะกรรมการตำรวจไม่คัดค้านความเห็นของอัยการ และดำเนินการเพิกถอนหมายจับนายวรยุทธ รวมถึง กรณีที่พบสารเสพติดในร่างกายนายวรยุทธ  โดยจากเอกสารผลตรวจร่างกาย พบสารโคเคนเอธทีลีน ซึ่งพบได้หลังเสพโคเคน ร่วมกับแอลกอฮอล์ แต่ประเด็นนี้ไม่ได้อยู่ในสำนวนของตำรวจ

ภาพจากอีจัน

ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (31 ก.ค. 63) พล.ต.อ.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. กล่าวภายหลังการประชุม ว่า ได้รับผลการตรวจเลือดของ บอส อยู่วิทยา เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2555 โดยแพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดี และ นิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ ยืนยันว่าสารที่พบในเลือดของนายวรยุทธมี 4 ชนิด คือ


1.อัลปราโซแลม
2.เบนโซอิลเอคโกนีน (Benzoylecgonine)
3.โคเคนเอธทีลีน
4.กาเฟอีน

สารตัวแรก อัลปราโซแลม เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ที่ใช้รักษาอาการในกลุ่มโรควิตกกังวล และตื่นตระหนก รวมไปถึงภาวะนอนไม่หลับ

ส่วนกาเฟอีนมีฤทธิ์ในการกระตุ้นการทำงานของสมอง ขยายหลอดลม และขับปัสสาวะ

ภาพจากอีจัน

ขณะที่สารเบนโซอิลเอคโกนีน และโคเคนเอธทีลีน เป็นสารที่เกิดจากการย่อยสลายโคเคน และสารที่เกิดจากการเสพโคเคนร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งตำรวจได้เรียกแพทย์ที่ทำการรักษานายวรยุทธ มาให้ข้อมูล ซึ่งแพทย์ยืนยันว่า ได้ให้ยาบรรเทาอาการอักเสบไม่มีส่วนผสมของสารเสพติดกับนายวรยุทธ

จากนั้น ตำรวจ จึงได้นำผลการตรวจดังกล่าวไปสอบสวนแพทย์ทั้ง 2 โรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าเป็นสารเสพติดหรือไม่ ซึ่งแพทย์ให้ความเห็นว่าผลการตรวจดังกล่าวอาจเกิดจากยาปฏิชีวนะ ที่อาจส่งผลลวงต่อการตรวจหรือเป็นสารเสพติดจริง ทั้งนี้เมื่อนำมาพิจารณาในคณะพนักงานสอบสวนแล้วเห็นว่าสารทั้ง 2 ชนิดไม่ถูกบัญญัติว่าเป็นสารที่ผิดกฎหมาย ประกอบกับไม่มีหลักฐานอื่นจึงไม่ได้แจ้งข้อหาในความผิดที่เกี่ยวข้อง แต่ได้ทำรายงานความเห็นเรื่องที่ส่งไปยังอัยการ

ส่วนที่มีการนำเรื่องนี้ไปชี้แจงกับคณะกรรมาธิการชุดใหญ่ และมีการเปิดเผยข้อมูลว่าสารโคเคนดังกล่าวเกิดจากการรักษาฟันนั้น เชื่อว่าเป็นความเข้าใจที่คาดเคลื่อน

หลังจากนี้จะมีการหาผู้เชี่ยวชาญที่จะชี้ชัดได้ว่าสารทั้ง 2 ชนิด เกิดจากอะไร ซึ่งอาจประสานไปยังกระทรวงสาธารณสุข หากท้ายที่สุดพบว่าเป็นสารเสพติดจริงจะเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ส่วนเรื่องความเร็วรถ ยังมีข้อถกเถียงในที่ประชุม ยังไม่ได้ข้อยุติจึงต้องมีการสอบสวนในประเด็นนี้ต่อ