ทรัมป์ ทวีตข้อความ สวมหน้ากากเท่ากับ “รักชาติ”

โดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความถึงการสวมหน้ากาก เป็นการแสดงออกถึงความรักชาติ

20 ก.ค. 63 สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้โพสต์ข้อความลงบนทวิตเตอร์ส่วนตัว โดยระบุว่าการสวมหน้ากากเป็นการ “รักชาติ”

ภาพจากอีจัน
ทรัมป์ ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าเขาจะเริ่มสวมหน้ากากเป็นปกติ แต่กล่าวว่า “หลายคนบอกว่าการสวมหน้ากากเมื่อคุณไม่สามารถรักษาระยะห่างทางสังคมเป็นการกระทำที่รักชาติ ไม่มีใครรักชาติมากกว่าผมอีกแล้ว ประธานาธิบดีคนโปรดของพวกคุณไง!” พร้อมแนบรูปตนเองสวมหน้ากากอนามัยขณะเยือนศูนย์การแพทย์ทหารแห่งชาติ วอลเทอร์ รีด ที่รัฐแมรีแลนด์ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 63 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาสวมหน้ากากต่อหน้าสื่อมวลชน นับตั้งแต่โรคโควิด-19 เริ่มระบาดหนักในสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ เคยมีคนเห็นทรัมป์สวมหน้ากาก ขณะเยือนโรงงานรถยนต์ฟอร์ด ที่รัฐมิชิแกน เมื่อเดือนพฤษภาคม แต่ไม่ได้มีภาพออกสื่อสาธารณะ โดยที่ผ่านมา ทรัมป์ ต่อต้านการสวมหน้ากากมาตลอดจนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ เขาก็ยังคงปฏิเสธประสิทธิภาพการยับยั้งโรคระบาดของหน้ากาก “ผมไม่เห็นด้วยกับประโยคที่ว่าถ้าทุกคนสวมหน้ากาก ทุกอย่างจะจบลง” ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับคริส วอลเลส ผู้จัดรายการฟอกซ์ นิวส์ ซึ่งออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ก.ค. พร้อมยืนยันว่าเขาจะไม่ออกคำสั่งบังคับให้ประชาชนทั่วประเทศสวมหน้ากาก ขณะนี้ จำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ได้รับการยืนยันผลในสหรัฐฯ พุ่งเกิน 3.8 ล้านราย และผู้ป่วยเสียชีวิตแตะ 140,800 รายแล้ว หากอ้างอิงข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ เมื่อช่วงบ่ายวันจันทร์ (20 ก.ค.) ตัวเลขทั้งสองครองสถิติสูงสุดในโลก ทิ้งห่างประเทศอื่นๆ ไปไกลโพ้น ช่วงเช้าของวันจันทร์ (20 ก.ค.) ทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าเขาจะกลับมาจัดงานแถลงข่าวประจำวันเกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่ทำเนียบขาวอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเวลา 17.00 น. ของวันอังคาร (21 ก.ค.) ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ ทรัมป์ เผยว่า “ผมคิดว่ามันเป็นวิธีที่ดีในการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีน การรักษาโรค และสถานการณ์โดยรวมแก่สาธารณชน” ทั้งนี้ ทรัมป์ เข้าร่วมงานแถลงข่าวกับกองปฏิบัติการไวรัสโคโรนาประจำทำเนียบขาวเกือบทุกวันระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน ก่อนจะมีประกาศระงับการรวมตัวกันที่ปีกซ้ายของทำเนียบขาวอย่างกะทันหัน ด้านไมก์ เพนส์ รองประธานาธิบดี และสมาชิกคนอื่นๆ ของกองปฏิบัติการฯ จัดการแถลงข่าวไม่กี่ครั้งในช่วงเดือนที่ผ่านมา เมื่อยอดผู้ป่วยในประเทศพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว