ทรัมป์ปราศรัย ขู่ส่งทหารสหรัฐเข้าควบคุมเหตุประท้วง การเสียชีวิตของ “จอร์จ ฟลอยด์”

ทรัมป์ขู่ใช้ทหารเข้าแก้ไขปัญหา ปราบปรามการประท้วงเหตุ “จอร์จ ฟลอยด์” ที่ลุกลามทั่วประเทศสหรัฐฯ

(2 มิ.ย. 63) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เมื่อวันจันทร์ (1 มิ.ย. 63) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ว่าจะใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามการประท้วงซึ่งเกิดขึ้นทั่วประเทศ อันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ของ จอร์จ ฟลอยด์ (George Floyd) ชายผิวสีที่เสียชีวิตระหว่างถูกตำรวจจับกุมตัวที่เมืองมินนิแอโพลิส รัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐฯ

ภาพจากอีจัน
“หากเมืองหรือรัฐใดไม่ดำเนินการที่จำเป็นเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ผมจะส่งทหารสหรัฐฯ เข้าไปแก้ปัญหาให้อย่างรวดเร็ว” ทรัมป์แถลงข่าวที่โรส การ์เดน (Rose Garden) ในทำเนียบขาว ซึ่งถือเป็นการปราศรัยครั้งแรกหลังฟลอยด์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 63 ทรัมป์ ระบุว่า เขาอาจใช้อำนาจตามความในกฎหมายปราบจลาจลปี 1807 (Insurrection Act of 1807) ที่สหรัฐฯ ไม่ได้นำมาใช้บ่อยนัก โดยกฎหมายนี้มอบอำนาจให้ประธานาธิบดีสามารถส่งกำลังทหารไปปฏิบัติหน้าที่ด้านการบังคับใช้กฎหมายภายในประเทศได้ และทรัมป์ ยังระบุว่าเขาจะส่ง “ทหารติดอาวุธครบมือ บุคลากรทางการทหาร และเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายหลายพันคน” ออกปฏิบัติการเพื่อฟื้นฟูความเป็นระเบียบเรียบร้อย ระหว่างที่เฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือทำเนียบขาว และเกิดความวุ่นวายขึ้นที่จัตุรัสลาฟาแยตต์ (Lafayette Square) ในบริเวณใกล้เคียง ทรัมป์ประกาศว่าเขาเป็น “ประธานาธิบดีของการรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อยในสหรัฐฯ” และ “เป็นพันธมิตรของผู้ที่ประท้วงโดยสันติทุกคน” ขณะที่เขากล่าวปราศรัย เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางสลายการชุมนุมบริเวณใกล้เคียงทำเนียบขาว หลังจบการปราศรัย เจ้าหน้าที่ตำรวจลงควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่เพื่อเปิดทางให้ทรัมป์สามารถเดินข้ามถนนเอช สตรีต (H Street) ไปยังโบสถ์ เซนต์ จอห์น เอพิสโกพัล (St. John’s Episcopal Church) และร่วมถ่ายภาพกับเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งนี้ โบสถ์เซนต์ จอห์น เอพิสโกพัล อันเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ได้รับความเสียหายบางส่วนจากการที่ผู้ประท้วงจุดไฟในบริเวณใกล้เคียงช่วงคืนวันอาทิตย์ (31 พ.ค. 63) ขณะที่ แอนดรูว์ คัวโม (Andrew Cuomo) ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กออกมาประณามคำปราศรัยของทรัมป์ โดยไม่นานหลังจากนั้นเขาเข้าร่วมงานแถลงข่าวและกล่าวว่า “เรียกทหารสหรัฐฯ ออกมาเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง นั่นแหละจุดมุ่งหมายของการกระทำดังกล่าว น่าอับอายมาก น่าขายหน้าสิ้นดี” และเมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ (1 มิ.ย. 63) มีรายงานระบุว่า ทรัมป์โต้เถียงกับผู้ว่าการรัฐทางโทรศัพท์เพื่อหารือเกี่ยวกับการจลาจลที่ยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง เขากล่าวว่าเหล่าผู้ว่าการรัฐนั้น “อ่อนแอ” และกระตุ้นให้พวกเขา “เข้าควบคุมสถานการณ์” เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ทวีความรุนแรง เคย์ลีห์ แมกอีแนนี (Kayleigh McEnany) เลขาธิการฝ่ายสื่อมวลชนของทำเทียบขาวระบุระหว่างการรายงานข่าวสั้นว่า คำว่า “เข้าควบคุม” ของทรัมป์หมายความถึงการรักษาความสงบบนท้องถนน ไม่ใช่เข้าควบคุมและจัดการกับผู้ประท้วง “ประธานาธิบดีระบุชัดเจนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนท้องถนนในสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้” แมกอีแนนีกล่าว “เราจะไม่อดทนต่อความรุนแรง การปล้นทรัพย์ อนาธิปไตย และสถานการณ์ที่ไร้ซึ่งกฎหมาย”
ภาพจากอีจัน
ทั้งนี้ สหรัฐฯ บังคับใช้กฎเคอร์ฟิวช่วงกลางคืนตั้งแต่เวลา 19.00 น. เป็นต้นไปตามเวลาท้องถิ่นของวันจันทร์และวันอังคาร (1-2 มิ.ย. 63) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.