นพ.ชำนาญ ภู่เอี่ยม อดีตหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ใช้ชื่อ Chamnan Bhu-eiam ถึงการต้านภัยโควิด-19 แบบยั่งยืนของประเทศไทย โดยระบุว่า
“การต้านภัยโควิด-19 แบบยั่งยืน”
มีข้อความอยู่ 2 ประโยค ที่จะมอบพี่น้องคนไทยให้ช่วยคิดกัน ณ เวลานี้
1.”เพราะโลกเปลี่ยนเราจึงเปลี่ยนตาม”
(The world change and we change with it.)
หรือ เพราะประเทศเราเปลี่ยน คนไทยจึงเปลี่ยนตาม
หรือ เพราะโควิดเปลี่ยนประเทศไทย คนไทยจึงต้องเปลี่ยน
2.”เพราะเราเปลี่ยน โลกจึงเปลี่ยน”
(When we change the world change.)
หรือ เพราะคนไทยเปลี่ยน ประเทศไทยจึงเปลี่ยน…
- จุฬาราชมนตรี ผ่อนปรนให้ละหมาดที่มัสยิดทุกวันศุกร์ (ญุมอะห์) ได้เเล้ว
- เด็กชายนั่งขายขนม แบ่งเบาภาระ ช่วยเเม่เลี้ยงพ่อที่ป่วย
- เปิดวิถีใหม่นางรำ-แม่ค้า วัดโสธรฯ ปรับตัวหลัง ผ่อนปรนเปิดกิจการ-กิจกรรม
เปลี่ยนตามข้อแรก เขาเรียกว่าถูกกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกพัดพาไป คือถูกบังคับให้เปลี่ยน ซึ่งเหตุการณ์ขณะนี้คือถูกโควิด บังคับให้เปลี่ยน พวกเราต้องถูกพัดพาไปในจุดที่เราไม่ถนัด ต้องพากันหลบซ่อนตัวที่เรียกโก้ๆว่า Stay Home หรือ Stay at Home และพากันมีพฤติกรรมรักสันโดษขึ้นมาอย่างกะทันหัน และ เกิดพฤติกรรม AntiSocial กันทั้งสังคมโลก ที่พูดให้ฟังดูดีว่า…รักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)… ขณะที่บางรายตกเป็นเหยื่อ บางรายก็กลายเป็นแนวร่วมช่วยโควิดแพร่เชื้ออยู่ทั่วไป
การเปลี่ยนที่ 2 “เพราะคนไทยเปลี่ยน ประเทศชาติจึงเปลี่ยน” ฟังดูดี แต่ฟังดูเหมือนแค่วาทะกรรมที่เลื่อนลอย ฟังดูเหมือนเป็นความฝัน แต่ถ้ามองในแง่ความเป็นไปได้ ก็ต้องบอกว่ามีความเป็นไปได้ถ้าคนไทยส่วนใหญ่เปลี่ยนตนเอง และ ช่วงเวลานี้ยิ่งมีความเป็นไปได้สูงมาก ส่วนจะเป็นไปได้อย่างไรนั้น ขออธิบายดังนี้…
1.โควิดนั้นไม่สามารถปฏิบัติการแบบ Stand alone ได้ คือ มันไม่สามารถขยายพันธุ์ แพร่เชื้อได้ด้วยตัวของมันเอง มันต้องใช้ร่างมนุษย์เป็นแนวร่วมในการขยายพันธุ์ และแพร่เชื้อ ดังนั้น ถ้าคนไทยทุกคนไม่ยอมร่วมมือกับมัน ป้องกันตัวไม่ยอมให้มันอาศัยร่างเรา มันก็ไม่สามารถแพร่พันธุ์ หรือ ทำอะไรเราได้ เพียงแค่คนไทยทุกคนต้องรู้จักดูแลตนเองและควบคุมวินัยตนเองอย่างเคร่งครัด (Self control) คือ ต้องมีวินัย รู้จักหน้าที่ที่พึงทำและมีจิตสำนึกต่อส่วนรวมอย่างเคร่งครัดตลอดเวลา เราก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อ หรือ เป็นแนวร่วมช่วยโควิดแพร่เชื้อได้
2.ช่วงนี้ประเทศชาติของเราอยู่ในช่วงที่กำลังได้รับความสนับสนุนจากประชาชนสูงขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับพบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่น้อยลงมาก ทำให้เกิดกำลังใจ และมีบรรยากาศแห่งความร่วมมือจากประชาชนสูง
3.โควิด-19 เป็นภัยใกล้ตัวของทุกคนโดยไม่เลือกฐานะ โดยไม่เลือกพวก ไม่เลือกฝ่าย
4.การที่จัดการกับโควิดได้อย่างจีรังยั่งยืน ต้องถือเป็นหน้าที่ของทุกคน (ไม่ใช่แค่ขอความร่วมมือ) เพราะ ทุกคนตกอยู่ในอันตรายเท่าเทียมกัน
5.คนไทยเริ่มมีการเรียกร้องให้ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ มากขึ้น ทั้งๆที่ยังไม่น่าไว้วางใจ บอกตรงๆ น่าเป็นห่วงมาก เพราะยังไม่มีหลักประกันด้านวินัย และ หน้าที่ความรับผิดชอบของประชาชน ถ้าพลาดไปจนเกิดการระบาดคลื่นที่ 2 จะรุนแรงกว่าคลื่นลูกแรกหลายเท่าตัว ขอให้ดูประเทศสิงคโปร์เป็นแบบอย่าง
6.ถึงแม้การระบาดของโควิด-19 จะผ่านไป การระบาดของโรคลักษณะนี้ในอนาคตก็อาจเกิดขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ ถ้าเราไม่ปลูกฝังวินัยด้านสุขภาพแก่ประชาชนให้อยู่ในสายเลือดจนกลายเป็นวัฒนธรรม เราอาจจะไม่สามารถรับมือกับการระบาดลักษณะนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต
7.มีตัวอย่างที่ดีถึงความเป็นไปได้จากประเทศเกาหลีใต้ หลังที่เกาหลีใต้เพลี่ยงพล้ำโควิดจนเกือบเอาตัวไม่รอด เมื่อเร็วๆนี้ ประชาชนพร้อมใจกันมีวินัยด้านสุขภาพอย่างเคร่งครัดกันทั้งประเทศ ชั่วระยะเวลาไม่นานก็สามารถดึงตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่กลับลงมาได้อย่างมากมาย จนบางวันไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เลย ซึ่งทำให้พวกเขามีกำลังใจทำหน้าที่มีวินัยกันใหญ่…
การที่ทำให้คนไทยปรับตัวได้เร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ เพศ พื้นฐานการศึกษา เศรษฐานะ ความเชื่อ ศรัทธา ศาสนา และ พื้นฐานทางจิตใจ
วิธีการปลูกฝังให้คนในชาติมีวินัย และรู้จักหน้าที่เพื่อสู้กับภัยโควิดโดยพร้อมเพรียงกันนั้น อาจกระทำได้หลายช่องทาง…เช่น
1.กระทรวงสาธารณสุข ผ่านไปทาง สาธารณสุขจังหวัด อาสาสมัครสาธารณสุข
2.มหาดไทย ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
3.ศูนย์แถลงข่าวโควิด-19 ของรัฐบาล (โดยการสอดแทรกตามโอกาสสมควร)
4.บรรจุเป็นวาระแห่งชาติ (เพื่อสร้างวินัยสู้ภัยโควิดของคนในชาติ)
5.สื่อสารทางสังคมโลกออนไลน์
6.จัดตั้งกลุ่ม ชมรมปลูกฝังวินัยต้านภัยโควิดทางสังคมโลกออนไลน์
7.ส่วนราชการต่างๆที่เกี่ยวข้อง
มีคำถามว่า
1.เราจะรอวัคซีน และยาที่รักษาโควิด-19 โดยตรง กันไปถึงไหน?
2.เรารู้ว่า โควิด ”ใช้คนของเรา” แพร่เชื้อ ทำไมเราไม่ดูแลคนของเราไม่ให้เป็นแนวร่วมกับโควิด?
3.ทำไมเราไม่รีบสร้างภูมิต้านทานทางวินัย ให้คนไทยรู้เท่าทันโควิดกันอย่างจริงจังกันทั้งประเทศเสียเลย?
4.คนไทยทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รับอันตรายจากโควิดเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นการป้องกันการระบาดของโควิดจึง “ไม่ใช่การขอความร่วมมือกัน” แต่ “เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน” ไม่ใช่หรือ?
5.การมีวินัยด้านสุขภาพที่จริงจัง ถ้าไม่เริ่มทำกันตั้งแต่วันนี้แล้วเมื่อไรจะเริ่ม?
เรื่องการปลูกฝังวินัยของคนในชาติด้านสุขภาพนั้น ดูเหมือนจะเป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ และ บางท่านอาจคิดว่าคนไทยอาจทำไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าสังคมไทยนั้นเป็นสังคมที่อ่อนตัว (Soft Culture) และ เป็นสังคมที่พร้อมจะปรับตัว (Adaptive Culture) และที่สำคัญก็คือ ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ใช้สื่อออนไลน์สูงมาก เพราะฉะนั้นถ้าท่านผู้เกี่ยวข้องรู้จักการสื่อสารออนไลน์อย่างมีคุณภาพ จนติดเป็นกระแส คิดว่างานนี้คงสำเร็จได้ในไม่ช้า อาจสำเร็จก่อนจะมียา มีวัคซีนใช้อย่างแน่นอน การเกิดโรคระบาดในลักษณะนี้ อาจมิใช่การจะเกิดครั้งสุดท้าย ยังมีโอกาสจะเกิดจะยังมีอีกในอนาคต การมีวัฒนธรรมด้านวินัยสุขภาพ หรือ สุขอนามัยนี้จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับการระบาดของโรคครั้งต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ…
สรุป:
การสร้างภูมิต้านทานทางวินัยด้านสุขภาพให้แก่คนในชาติ คือหนทางที่จะต้านภัยโควิด-19 ณ ช่วงเวลานี้ และ รับมือการระบาดของโรคในลักษณะนี้ในอนาคต และเมื่อคนไทยทุกคนมีภูมิต้านทานด้านสุขภาพ รู้จักหน้าที่ มีวินัย จะทำอะไรก็ง่ายไปหมด จะคลายล็อก ปลดล็อก อย่างไร เมื่อไร ย่อมได้ทุกเมื่อ…
“ความมีวินัย คือ สะพานเชื่อมระหว่างเป้าหมาย กับ ผลสำเร็จ”
(Discipline is the bridge between goals and accomplishment.)…
Chamnan._
4/04/63
09:00 น.
(ด้วยความปรารถนาดีจาก นายแพทย์ ชำนาญ ภู่เอี่ยม)