ใจเขาใจเรา อย่าตีตราผู้ป่วยโควิด-19 เพราะอนาคตคือคนช่วยชีวิตผู้ป่วย

สสส-มูลนิธิคุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ เผย อย่าตีตราผู้ป่วยโควิด-19 ชี้พลาสมาผู้หายป่วยต่อชีวิตได้ ขณะแท็กซี่ที่เคยติดเชื้อรายแรกเผย อยากฆ่าตัวตายเพราะถูกตีตรา


วันนี้ (29 เม.ย. 63) นายชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. เผยว่า หลังมีการระบาดของโควิด-19 สสส. และมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ ได้ร่วมกันวิเคราะห์ถึงแนวทางการสื่อสาร สร้างความเข้าใจ โดยใช้ฐานคิดและแนวทางการทำงานที่ประยุกต์มาจากการลดการตีตราจากงานโรคเอดส์/เอชไอวี มาใช้กับโควิด-19 ที่ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม

โดยวัตถุประสงค์เพื่อลดการตีตรา และเลือกปฏิบัติต่อผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรคและผู้ติดเชื้อ รวมไปถึงครอบครัว คนใกล้ชิดของกลุ่มคนเหล่านี้ อาจได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม กุญแจแก้ปัญหาเรื่องนี้คือประชาชนควร “รู้วิธีที่จะไม่ติด และจะไม่แพร่” คือ การมีระยะห่างทางสังคม ล้างมือทุกครั้งเมื่อสัมผัสพื้นผิวใดๆ ใส่หน้ากากผ้าเมื่อออกไปที่ชุมชน ระมัดระวังการใช้ชีวิตกับผู้อื่นตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ใช้ความพอดี ระวังคำพูด ท่าที การใช้สายตา

ภาพจากอีจัน
ในทางกลับกันทุกคนต้องป้องกันในกรณีที่ตัวเราอาจติดเชื้อแล้ว แต่ไม่มีอาการซึ่งจะไปแพร่เชื้อให้คนอื่นด้วย ต่อมาคือ “ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไม่ได้เสียชีวิตทุกคน” ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกชี้ชัดว่า ผู้เสียชีวิตจากโรคนี้มีเพียง 3.4% ที่เราเห็นว่าผู้ติดเชื้อทุกคนต้องอยู่โรงพยาบาลนั้น เพื่อควบคุมโรคระบาด เมื่อมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจนจากสองประเด็นข้างต้นแล้ว ย่อมนำมาสู่ “การไม่ตีตราเลือกปฏิบัติ” เมื่อแพทย์ระบุว่าตรวจไม่พบเชื้อแล้ว บุคคลนั้นจะมีภูมิคุ้มกัน ไม่สามารถแพร่เชื้อได้ ถึงเวลานั้นจะเป็นบุคคลที่มีคุณค่าต่อสังคม เพราะพลาสมาสามารถใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการหนักได้ และข้อมูลอาการป่วยยังเป็นประโยชน์ต่อความก้าวหน้าในวงการแพทย์
ภาพจากอีจัน
ด้าน นางสาวสุภัทรา นาคะผิว ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ (FAR) กล่าวว่า ในช่วงระบาดโควิด-19 มูลนิธิฯ ได้ปรับเปลี่ยนกิจกรรมโครงการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ หลังพบว่า มีกรณีผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรค ผู้ติดเชื้อ รวมทั้งผู้ที่รักษาหายแล้ว ไม่สามารถกลับเข้าไปใช้ชีวิตในชุมชนได้ ถูกคนในชุมชนกีดกันขับไล่ออกนอกพื้นที่หลายครั้ง เหตุการณ์เหล่านี้คล้ายกับเมื่อ 30 ปีก่อน ที่ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ถูกชุมชนรังเกียจไม่ยอมรับการอยู่ร่วมกัน ด้วยความกลัว กังวลว่าจะติดเชื้อ และทัศนคติเชิงลบที่มีต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยได้จัดทำสื่อรณรงค์และเผยแพร่ ภายใต้แนวคิด “สู้โควิด-19 แบบไม่ตีตราและไม่เลือกปฏิบัติ” โดยมุ่งเน้นให้ชุมชนตระหนักและมีความเข้าใจว่าทุกคนมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 โควิด-19 ป้องกันได้ รักษาได้ ให้นึกถึงใจเขาใจเรา
ภาพจากอีจัน
อีกทั้ง นายทองสุข ทองราช อดีตผู้ป่วยโควิด-19 กล่าวว่า ตนเคยเข้ารับการรักษาโควิด-19 และหายเป็นปกติ แพทย์ตรวจไม่พบเชื้อแล้ว แต่วันแรกที่กลับมาขับรถแท็กซี่ต้องประสบกับเหตุการณ์ผู้โดยสารขอลงจากรถกะทันหัน เพราะจำหน้าตนในข่าวได้ เหตุการณ์ครั้งนั้นบั่นทอนกำลังใจอย่างมาก จนเกือบตัดสินใจเลิกขับรถและกลับบ้านเกิด ความกดดันต่างๆ ในห้วงเวลานั้นทำให้เกิดความคิดอยากฆ่าตัวตาย แต่ด้วยภาระหนี้สินรุมเร้า ทั้งค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าซ่อมแซมบ้านที่เพิ่งถูกไฟไหม้จากเหตุไฟฟ้าลัดวงจร ทำให้ตนต้องสู้ บนพื้นฐานกำลังใจสำคัญจาก “ครอบครัว” และความภาคภูมิใจจากการบริจาคพลาสมาที่สามารถต่อชีวิตผู้ป่วยได้อีกหลายคน สุดท้าย ในวิกฤตนี้ตนขอให้คนไทยทุกคนรักกัน อย่ารังเกียจผู้ติดเชื้อ การเดินสวนกันไม่ได้ทำให้ติดโรคได้ แค่รู้จักป้องกันตัวเองอย่างเคร่งครัด โรคนี้ก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว