27 เมษายน 2563 ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก ถึงเรื่อง “ความรุนแรง เป็นใหม่ แพร่ต่อ? : ความลึกลับของโควิด-19” โดยมีเนื้อหา ดังนี้
- กทม. นำรถครัวสนาม ปรุงอาหารแจกประชาชนย่านบางซื่อ
- คนไทยตกค้างในนิวซีเเลนด์ 168 คน กลับถึงไทยวันนี้
- ศบค.เเถลง ไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 9 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย
"ความรุนแรง เป็นใหม่ แพร่ต่อ? : ความลึกลับของโควิด-19
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
18/4/63 ปรับปรุง 27/4/63
#สำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
ลักษณะของการติดเชื้อเช่นโควิด-19 คิดว่าเปรียบเสมือนเป็นการได้รับวัคซีนตามธรรมชาติ
ทั้งนี้โดยหวังว่าเมื่อประชากรอย่างน้อยครึ่งหนึ่งหรือ 60% ขึ้นไปเมื่อมีการติดเชื้อแล้วจะมีภูมิคุ้มกันหมู่ และเป็นปราการป้องกันไม่ให้มีการแพร่เชื้อออกไปอีกอย่างมาก
แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือการตอบสนองของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน
ทั้งนี้อาจจะขึ้นกับการที่ไวรัส “ชอบ” ที่จะเข้าไปอยู่ที่คอจมูกและระบบทางเดินหายใจส่วนต้น หรือ”รัก”ที่จะเข้าไปอยู่ในปอดลึกๆ และทำให้ไม่มีอาการหรือแทบจะไม่มีอาการเลย ทั้งๆที่มีปอดอักเสบและไม่มีอาการไอด้วยซ้ำ
ตำแหน่งที่ไวรัสอยู่จะมีผลในการ
กระตุ้นขั้นตอนของการสร้างภูมิคุ้มกันต่างกัน
กระบวนการหลบหลีก การมองเห็นของระบบภูมิคุ้มกัน ในที่ต่างๆเหล่านี้อาจไม่เหมือนกัน นอกจากนั้นในส่วนของไวรัสเริ่มมีข้อมูลว่ามีการเข้าไปกวนการสร้างภูมิคุ้มกันของ T เซลล์ แบบไวรัสเอชไอวีแต่ไม่ได้ทำให้จำนวนเซลล์ต่ำลง
และชนิดของไวรัสเอง ไม่ได้ขึ้นกับ lineage A B หรือ C ว่า variant ใดมีผลต่อระบบการต่อสู้ของร่างกาย ผู้ติดเชื้อ ให้เก่งหรือไม่เก่งในส่วนของ antiviral protein แต่เป็นลักษณะในรหัสพันธุกรรม ตาม point mutation บางตำแหน่ง และ/หรือสัดส่วนบางอย่างของไวรัสที่กระทบระบบการต่อสู้ของคนติดเชื้อ และมีส่วนในการกำหนดความรุนแรงของโรค
ขั้นตอนต่างๆเหล่านี้ ส่งผลทั้งการเพิ่มจำนวนและปริมาณของไวรัส ตั้งแต่ระดับ transcription replication รวมทั้งการประกอบร่างตั้งแต่ subgenomic RNA และยังมีผลต่อเนื่องไปถึงการที่ไวรัสไปท้ารบ กับร่างกายโดยร่างกายสร้างการอักเสบมากเกินพอดี เกิด cytokine storm หรือมรสุมภูมิวิกฤตและยังส่งผลไปลดทอนระบบการละลายการอักเสบ ผ่านทาง AT1-7 และเหนี่ยวนำนิวโตรฟิลในการทำให้ความรุนแรงโรคเพิ่มขึ้น ผ่านกลไก NET neutrophil extracellular trap
นอกจากนั้น การที่จะหายจากโรคอย่างสมบูรณ์หมดจด มีกระบวนการขั้นต้นที่เรายังไม่ทราบชัดเจนแต่อาจอนุมานเอาว่าเกิดจากการที่มีภูมิคุ้มกันแอนติบอดีชนิดที่ทำลายไวรัสได้ (neutralizing antibody) แต่ยังคงต้องตระหนักว่าเซลล์ในร่างกายแต่ละชนิดที่มีการติดเชื้ออาจจะมีกระบวนการทำลายไวรัสต่างกันในขั้นต้นและในระยะกลาง ซึ่งต้องอาศัยระบบเซลล์และระบบน้ำเหลืองเข้ามาควบคู่กันและในที่สุดถ้าไม่สามารถทำลายไวรัสได้อย่างหมดจดเนื่องจากต้องทำลายส่วนของร่างกายที่ติดเชื้อไปด้วย ก็จำเป็นที่จะต้องปล่อยให้มีการติดเชื้อต่อโดยมีการตรวจตราควบคุมไม่ให้ไวรัสกระจายออกมาอีก ซึ่งเป็น long term control โดยใช้ระบบคุ้มกันชนิดเซลล์อย่างเดียวหรือร่วมกับระบบน้ำเหลือง
ทั้งหมดนี้ทำให้ความเข้าใจในโควิด-19 ยังไม่สมบูรณ์
และยังไม่สามารถทำนาย ได้อย่างชัดเจนว่าใครจะมีอาการหนักเบา แม้ว่าอายุจะน้อยจะมากไม่มีโรคประจำตัวก็ตาม
และยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าใครเมื่อหายแล้วจะหยุดปล่อยเชื้อได้เร็วช้าหรือจะกลายเป็นคนที่แพร่เชื้อไปในระยะเวลายาวนาน และเชื้อที่ปล่อยออกมานั้นเป็นตัวสมบูรณ์กระฉับกระเฉงพร้อมที่จะติดต่อไปหาคนอื่นหรือเป็นตัวที่กระปลกกระเปลี้ยมีความสามารถในการแพร่ได้จำกัดหรือเป็นเพียงแต่เศษ RNA ของไวรัสที่ออกมากระปริบกระปรอย จากผลของ intermittent shedding จากเซลล์ที่ไวรัสไปหลบซ่อนอยู่จากการถูกมองเห็นของระบบภูมิคุ้มกัน
และท้ายสุดภูมิคุ้มกันหลังจากการติดเชื้อตามธรรมชาติจะอยู่ได้คงทนนานเท่าใดยังไม่มีใครทราบและถ้าจะอยู่ได้นานแต่ถ้าไวรัสเปลี่ยนหน้าตาไปภูมิคุ้มกันดังกล่าว เพียงแต่รู้จักไวรัสเฉยๆแต่ไม่ไปทำลาย หรือจะซ้ำร้ายไปช่วยไวรัสให้มีการเพิ่มจำนวนและเกิดอาการมากขึ้นหรือไม่ยังไม่มีใครทราบ
และจบที่มนุษย์แต่ละคนจะมีชะตาชีวิตกำหนด (host response profiling) ให้มีการรับมือกับศัตรูได้รวดเร็วเพียงใดและหมดจดแค่ไหน"