ปธ. ศาลฎีกา แนะ เลี่ยงขังคุกผู้ฝ่าเคอร์ฟิว ชี้ เสี่ยงเข้าไปแพร่เชื้อ

ประธานศาลฎีกา แนะ เลี่ยงส่งผู้ฝ่าเคอร์ฟิว ไปรับโทษในคุก หวั่น เป็นพาหะนำเชื้อไปแพร่ระบาด

(16 เมษายน 2563) มีหนังสือคำแนะนำของ นายไสลเกษ วัฒพันธุ์ ประธานศาลฎีกาในเรื่องของการลงโทษจำเจอ หรือผู้ที่ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ว่าให้เลี่ยงการส่งไปรับโทษในคุก เพราะว่าจะเสี่ยงต่อการที่กลุ่มคนเหล่านี้ จะเป็นพาหะนำเชื้อโรคไปแพร่ระบาดข้างในได้

ภาพจากอีจัน
โดยในหนังสือ ระบุว่า “ตามที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักรและ นายกรัฐมนตรีได้ออกข้อกำหนดห้ามมิให้บุคคลใดออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลาที่ระบุในข้อกำหนด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับยกเว้น นั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ประธานศาลฎีกา จึงออกคำแนะนำ ดังต่อไปนี้ การใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษแก่จำเลยซึ่งกระทำความผิดฝ่าฝืนข้อกำหนดห้าม บุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถานระหว่างเวลาที่กำหนดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ศาลพึงคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการออกข้อกำหนดว่า เป็นไปเพื่อป้องกันมิให้ประชาชนไปประกอบกิจกรรมไม่พึงประสงค์อันนำไปสู่การแพร่ระบาดชองเชื้อไวรัส การกำหนดโทษแก่จำเลยในอัตราโทษที่เหมาะสมและมีผลในการบังคับโทษโดยทันที ย่อมส่งผลให้จำเลยเข็ดหลาบ ไม่กล้ากระทำความผิดอีกตลอดระยะเวลา ตามข้อกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่งผลดีต่อการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และส่งผลต่อประชาชนโดยทั่วไปที่จะยับยั้งชั่งใจ และระมัดระวังที่จะไม่กระทำความผิดในฐานดังกล่าว
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
แต่ในภาวะเช่นนี้ก็ควรหลึกเลี่ยงการส่งจำเลยเข้าไปรับโทษกักขังในสถานที่กักขังหรือจำคุกในเรือนจำเพราะเป็นการเสี่ยงที่จำเลยจะเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสไปแพร่ระบาดในสถานที่กักขังหรือเรือนจำ ซึ่งจะส่งผลเสียหายต่อระบบสาธารณสุขโดยรวมของประเทศ จึงสมควรที่ศาลจะได้นำมาตรการที่มีอยู่หลากหลายในประมวลกฎหมายอาญามาใช้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ทั้งในทางลงโทษผู้กระทำความผิดและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อร้ายแรง”
ภาพจากอีจัน