ผู้ช่วยหมอนิวยอร์ก แนะวิธีดูแลตัวเองเมื่อติดโควิด-19

สาวไทย ผู้ช่วยหมอที่นิวยอร์กแนะนำวิธีดูแลตัวเองเมื่อติดโควิด-19 อาการไม่หนักสามารถรักษาที่บ้านได้ แบ่งเบาหน้าที่คุณหมอ ไม่เสี่ยงมารับเชื้อที่โรงพยาบาล

จากกรณีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่วิกฤติทั่วโลก ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทะลุ 1 ล้านคนทั่วโลก รวมถึงจำนวนผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคน ซึ่งทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบก็พยายามหาวิธีป้องกันเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อ รวมถึงทีมแพทย์ที่ต้องรักษาผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด จนบางประเทศเกิดดราม่าเรื่องการเลือกรับผู้ป่วยและการเลือกปฏิบัติ

ทำให้สาวไทยรายหนึ่งซึ่งเป็นผู้ช่วยหมออยู่ที่นิวยอร์กออกมาโพสต์วิธีดูแลตัวเอง หากตรวจพบเชื้อในผู้ที่มีอาการไม่หนัก เพื่อลดความเสี่ยงในการมาอยู่โรงพยาบาล รวมถึงลดดราม่าเรื่องการเลือกปฏิบัติ เพราะสถานการณ์แบบนี้ควรช่วยเหลือกันมากกว่าโยนผิดให้กัน โดยโพสต์ดังกล่าวระบุว่า

เรื่องของปอด และวิธีดูแลตัวเองถ้าคิดว่าเราติดเชื้อ Covid ปอดปกติเวลา X-ray ออกมาแล้วจะเป็นสีดำสนิทอาจจะมีสีเทาๆบ้าง แต่ปอดอักเสบ ปอดชื้น ปอดมีน้ำขังนั้น จะออกมาเป็นสีขาว ยิ่งพื้นที่สีขาวมากอาการป่วยก็มากขึ้นตามไปด้วย

ภาพจากอีจัน

คนไข้ Covid นั้นถ้าอาการไม่หนักจริงหมอก็จะส่งกลับบ้านแล้วไปรักษาตามอาการ เป็นไข้ หรือปวดตามข้อก็ให้กิน Tylenol ไปเรื่อยๆ ส่วนอาการไอนั้นเกิดจากปอดระคายเคืองอาจจะไอได้เป็นเดือนเพราะปอดนั้นใช้เวลานานในการสมานตัวเอง ส่วนตัวแล้วไม่สนับสนุนยาแก้ไอ แต่ต้องถามหมอดูแล้วกันนะคะ นอนเยอะๆสำคัญมาก นอนทั้งวันได้ยิ่งดี แต่อย่าลืมหายใจด้วยก็แล้วกัน ดื่มน้ำเยอะๆ ทานผลไม้ที่มีวิตมิน C สูง ฝรั่ง ส้ม กล้วย อ้อย แต่ขอให้เลี่ยงทุเรียนไว้ก่อนเพราะมีสรรพคุณร้อน (แต่ไม่แนะนำน้ำผลไม้สำเร็จรูป เพราะมีแต่น้ำตาล คุณภาพทางอาหารแทบจะไม่มีเลย) ทานอาหารตามปกติถ้าทานได้ แล้วก็สังเกตอาการไปเรื่อยๆ แต่ถ้าอาการเริ่มหนักขึ้นเริ่มเจ็บหน้าอก หายใจขัด หายใจไม่คล่อง รู้สึกเหมือนหายใจไม่เต็มปอด หรือ เริ่มมีอาการเหนื่อยหอบเวลาหายใจก็ให้กลับไปรพ.อีกครั้ง

ภาพจากอีจัน
หมอจะรู้ว่าเป็นมากหรือน้อยก็จากการ X-ray หน้าอก, ระดับออกซิเจน, แล้วก็จากการหายใจของคนไข้ ถ้ายังพูดได้คล่อง ยังด่าเจ้าหน้าที่ได้ว่าตัวข้านั้นมารอตรวจเป็นชั่วโมง ไม่มีหมาที่ไหนมาดูแลซักตัว บริการแม่- ห่วยแตก บลา บลา บลา ได้เป็นประโยคแบบไม่ต้องหยุดหายใจก็แสดงว่าอาการยังไม่หนัก หรือระหว่างรอหมอมาตรวจก็ยังง่วนอยู่กับ selfie แล้วก็กระหน่ำโพสต์ด่ากราดทั้งโรงพยาบาล ก็แสดงว่าอาการไม่หนักเช่นกัน กลับบ้านได้ แต่ถ้าด่าเจ้าหน้าที่ได้แบบกระท่อนกระแท่นด่าไปหอบไปก็อาจจะต้องรับไว้ แต่ถ้าด่าใครไม่ได้เลยแค่หายใจก็ยังลำบากอันนี้รับเป็นคนไข้ในแน่นอน
ภาพจากอีจัน

แต่ขออย่างเดียวถ้าเป็นน้อยอย่าไปโกหกหมอว่าเป็นมาก อย่าวิตกกังวลจนเกินเหตุ ให้สังเกตตัวเองตามความเป็นจริง ไปรพ.ตอนนี้เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ตนเอง ถ้าเป็นไปได้ควรไปคนเดียวไม่ต้องพาใครไปเป็นเพื่อน สถานการณ์แบบนี้ตัวใครตัวมันไปก่อน

และถ้าหมอรับเป็นคนไข้ในแล้ว คนจะเยี่ยมไม่ได้ไม่มีใครมาส่งข้าวส่งน้ำ อาหารเผ็ดร้อนจัดจ้านก็จะอดไปด้วย สรุปแล้วถ้าอาการไม่หนักจริงก็อยู่บ้านดีกว่า ไปรพ.ก็มีแต่ยาที่ให้แล้วก็ไม่รู้ว่ารักษาโรคนี้ได้จริงหรือเปล่า แต่ถ้าอาการหนักจริงๆก็ให้กลับไปรพ.อีกครั้งไม่ต้องกลัวหมอจะส่งกลับหรือหมอจะว่าเพราะหมอที่ดีจะวินิจฉัยได้ว่าจะรักษาคนไข้ยังไงให้คนไข้เสี่ยงน้อยที่สุด

ภาพจากอีจัน
ปล#1 อยากขอชี้แจงว่าโรงพยาบาลที่ต่างประเทศ (อย่างน้อยก็ที่ NY) ไม่มีคนไข้โดนปฏิเสธการรักษา หรือว่าเลือกปฏิบัติเพราะว่าเราเป็นเอเชีย เราไม่ใช่ฝรั่งตามข่าวที่เมืองไทยลง แล้วให้เป็นเรื่องดรามาเรียกน้ำตาและก่อให้เกิดความแตกแยกเกลียดชัง แค่โรคระบาดนี่น้ำตาก็ท่วมโลกอยู่แล้ว ถ้าไม่มีข้อมูลจริงๆหรือพูดแล้วไม่สร้างสรรค์ อยู่เงียบๆจะดีกว่าค่ะ ทุกโรงพยาบาลมี Protocol คัดกรองคนไข้ จะขาว จะเหลือง ดำ แดง ม่วง น้ำตาล หรือสีรุ้ง ถ้าดูแล้วไม่ critical จริงๆ รักษาตามอาการที่บ้านได้ กลับไปรักษาที่บ้านจะปลอดภัยกว่าทั้งกายและใจ คนไข้ไม่เสี่ยงติดเชื้อซ้ำซ้อน ได้อยู่บ้านตัวเอง ไม่ต้องใช้ห้องน้ำรวมกับใคร อาบน้ำกินข้าวทำได้ทุกอย่างทุกเวลา มี TV ดู ถ้าอยู่เมืองนอกอยู่บ้านยังได้ดูซีรี่ย์เกาหลี (ที่รพ. WiFi ไม่แรง ล่มบ่อย เลยแอบเล่น Facebook ไม่ได้) อยู่รพ.มีแต่เสียงโวยวาย เสียงเพจ เสียงปั๊มน้ำเกลือ เสียงโทรศัพท์ เพื่อนร่วมห้องอาจจะมีอาการหลงตอนกลางคืนเดินเพ่นพ่านพอถูกมัดก็ร้องโวยวายมันทั้งคืน (พนักงานอย่างพวกเราทนได้เพราะชิน คิดว่าเป็นเสียงนกไนติงเกิลมาขับกล่อมให้ทำงานได้เพลิดเพลินยิ่งขึ้น) เสียงเตียงข้างๆกำลังโดนปั๊มหัวใจ ใส่ท่อ ใส่สายทั้ง ทวารหนัก และทวารเบา โดนปลุกมาตรวจเลือดกลางดึก แถมเข้าแล้วออกไม่ได้ หนีออกมาตำรวจก็ตามไปจับถึงบ้าน แต่ถ้าคนไข้ดูแล้วว่าต้องรับเป็นคนไข้ในไม่มีเตียงเราก็ให้นั่งโต๊ะไปก่อน ไม่มีห้องเราก็หาม่านบังตามาทำเป็นห้องให้ ตอนนี้คนไข้เต็มโถงทางเดิน ไฟสว่างจ้า พนักงานเดินกันขวักไขว่ทั้งวันทั้งคืนอยากถามว่าถ้าคุณอาการไม่แย่จริงๆคุณอยากจะอยู่ที่ไหน
ภาพจากอีจัน

ส่วนตัวแล้วคิดว่าโรงพยาบาลทั่วโลก protocol จะเหมือนกันหมดไม่หนักจริงส่งกลับบ้าน คิดว่าคนไทยที่เสียชีวิตตอนไปโรงพยาบาลอาจจะอาการไม่หนัก หมอเลยส่งกลับบ้านแต่พอกลับมาที่พักแล้วอาการแย่ลง ไปรพ.ไม่ทัน (หรือจะเหตุผลอะไรที่เราไม่อยากจะไปคาดเดา) แล้วก็เสียชีวิตตามที่เป็นข่าวไม่เชื่อค่ะ ว่าทางรพ.ส่งกลับเพราะเป็นคนเอเชีย ไม่ใช่คนขาว อันนี้ขอบอกจริงๆว่าไม่ใช่แน่นอน

อย่าโทษหมอหรือทางโรงพยาบาลนักเลยค่ะ จริงอยู่ทุกชีวิตมีค่า แต่ Covid 19 ไม่ได้เปิดโอกาสให้เรา save ทุกชีวิต พนักงานทุกคนก็ทำงานกันเต็มที่แล้วค่ะ จากคนไข้ 200 คนต่อวัน (แค่ที่ห้อง ER) ตอนนี้เพิ่มเป็น 400-500 คนต่อวัน งานเพิ่มเป็นสองเท่า เงินเดือนเท่าเดิม แถมงานเสี่ยงต่อชีวิตตนเอง และครอบครัว พวกเราไม่กลัวเหนื่อยค่ะ แต่กลัวตาย
คุณถึงเห็นหมอ พยาบาลร้องไห้ออกสื่อกันทุกวันแล้วยังมีคนไม่รู้จริงนั่งกระดิก…อยู่ในวิมานอีกครึ่งโลกมานั่งบีบน้ำตาว่าสงสารคนร่วมชาติว่าถูกเลือกปฏิบัติ ถ้าสงสารจริงก็บริจาคให้รพ.ซิคุณ เงินเป็นโกศเป็นล้านเลี้ยงอาหารพนักงานโรงพยาบาลซักเดือน หรือหรูหน่อยก็ Ventilator ซักตัว นั่นก็ช่วยได้หลายชีวิตอยู่

สังคมเราทุกวันนี้อยู่กันอย่างเห็นแก่ตัว โยนบาปใส่กัน อย่าให้มันแย่ไปกว่านี้เลย สังคมเราตอนนี้ต้องการความรักและความเห็นใจ เก็บความเกลียดความอิจฉาไว้กับตัวคุณเถอะ

ปล#2 รูปปอดที่เอามาลงเป็นรูปจากคนไข้จริงๆทั้งหมดยกเว้นรูปสุดท้าย เอามาจาก Google ปอดปกติ เพราะตอนนี้ไม่มีคนไหนมีปอดสมบูรณ์แบบเลยซักคน รูปที่ลงนี้ไม่ได้ขออนุญาตคนไข้เลยเพราะเสียชีวิตด้วย Covid 19 กันหมดแล้ว แต่ได้ตั้งจิตอธิษฐาน ขอขมา และบุญใดๆที่ได้ทำไว้ก็ขอให้วิญญาณของทุกท่านไปอยู่ในภพในภูมิที่ดี ถ้าท่านใดอ่านแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็ช่วยกันแผ่ส่วนกุศลให้ท่านอาจารย์ใหญ่เหล่านี้ด้วย

ปล#3 คนpostไม่ใช่หมอนะคะ เป็นแค่ผู้ช่วยค่ะ