นศ.ไทยในอังกฤษ โพสต์เล่าไทม์ไลน์ กว่าจะรู้ว่าติดโควิด-19

นศ.ไทยในอังกฤษ โพสต์เล่าความยากลำบากในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ขณะที่รัฐฯ อังกฤษประกาศรับมือโรคไม่ไหว ต้องดิ้นรนกลับมารักษาที่ไทย

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2563 มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง เปิดเผยข้อมูลของนักศึกษาไทย ในอังกฤษ ถึงความยากลำบากในการตรวจหาเชื้อโควิด-19

ภาพจากอีจัน
โดยนักศึกษาไทยคนดังกล่าว เล่าผ่านเฟซบุ๊ก ว่า “บันทึกความทรงจำ ณ 25 มีนาคม 2563 เราติดเชื้อโควิด-19 ได้รับการยืนยันเป็นที่เรียบร้อยจากห้องปฏิบัติการคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

คิดอยู่นานว่า ควรตัดสินใจจะโพสต์หรือเปล่า แต่ก็คิดว่า เรื่องราวของเราอาจเป็นวิทยาทานช่วยให้คนตระหนักและร่วมมือช่วยกันดูแลตัวเองและใส่ใจคนรอบข้างให้มากเพราะไวรัสโควิด-19 มันไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

ทุกอย่างในความรู้สึกตอนนี้ยังเป็นเหมือนความฝัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมายังรู้สึกเหมือนเอ๋อๆ งงๆสับสนไปหมดว่าจะทำอะไรและไปทางไหนต่อ ยอมรับว่าช็อคและสติหลุดมาก น้ำตาไหลพรากร้องไห้ไม่หยุด เมื่อได้ทราบผลเป็นที่แน่ชัดจากทางโรงพยาบาลว่าเราติดโรคไวรัส โควิด-19

ภาพจากอีจัน
จากโพสต์ก่อนหน้านี้เป็นการโพสต์ระบายความในใจตอนที่อยู่ลอนดอนประเทศอังกฤษจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เราจะลำดับเหตุการณ์และอาการเบื้องต้นของเราให้ทราบดังนี้ค่ะ

9 มีนาคม 2563
มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเหนื่อย เหนื่อยเหมือนจะไม่สบายแต่ยังทำทุกอย่างได้ปกติแต่กลัวว่าจะติดโควิดจากการเดินทางไปโรงเรียนเพราะรู้ว่าร่างกายของเราไม่ปกติและฝรั่งทุกคนที่นั่นก็ไม่ใส่หน้ากากป้องกัน เลยโทรไปลาโรงเรียนทั้งอาทิตย์ว่าเราป่วยและกินยาพาราสองเม็ดแล้วนอนพักที่ห้อง

10 – 14 มีนาคม 2563
มีอาการแบบเดิม คือเหนื่อย เหนื่อยเหมือนไม่สบายแต่ก็ยังไม่มีไข้อะไร เราก็กินยาพาราอีกและพักผ่อนอยู่ที่ห้อง

ภาพจากอีจัน
15 – 16 มีนาคม 2563 เริ่มมีอาการเจ็บคอรู้สึกอ่อนเพลียมากขึ้นเลยตัดสินใจจะไปโรงพยาบาลและจีพีเพื่อไปหาหมอแต่ปรากฏว่าไปแล้วจีพีปิดเร็วเพราะเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์เลยปรึกษากับรุ่นพี่เค้าให้คำแนะนำว่ารัฐบาลอังกฤษออกกฎมาว่าถ้ารู้สึกว่าป่วยห้ามไปที่โรงพยาบาลหรือร้านขายยาเองให้โทรไปที่สายด่วนเพื่อคุยและปรึกษาบอกถึงปัญหากับเจ้าหน้าที่เราก็โทรไปแต่ผลที่ได้รับคือ บอกให้เราอยู่ที่บ้านและพักรักษาตัวที่บ้านก่อนเจ็ดวันล้างมือให้สะอาดกินยาพารา

17 มีนาคม 2563
อาการเจ็บคอหนักมากขึ้นและไอตัวร้อนหนาวสั่นอาการเริ่มบ่งบอกและออกได้ชัดเจนเราตัดสินใจที่จะไปโรงพยาบาลอีกครั้งเมื่อไปถึงเค้าก็ไม่ให้เราตรวจรักษาให้เรายืน ให้เรายืนอยู่ข้างนอกหน้าประตูห้ามเข้าไปข้างในด้วยซ้ำ เราก็กลับมาที่บ้านพยายามโทรติดต่อเบอร์ที่รัฐบาลให้เขาก็พูดแบบเดิม

18 มีนาคม 2563
ไอมากขึ้นตัวร้อนและเริ่มมีอาการเจ็บที่หน้าอกเลยโทรไปที่สายด่วนที่รัฐบาลอังกฤษตั้งให้โทรและบอกว่าเราเจ็บหน้าอกมากไม่ไหวแล้วแหละ ไข้ขึ้นสูงช่วยตรวจให้หน่อยว่าเราสงสัยว่าจะได้รับเชื้อโควิด-19 แต่เรากลับได้รับคำตอบมาว่ารัฐบาลยกเลิกและหยุดการตรวจโควิดแล้วให้อยู่ที่บ้าน เราทำอะไรไม่ได้ได้แต่ร้องไห้ทำไมประเทศนี้มันเข้าถึงหมอเข้าถึงโรงพยาบาลยากเย็นขนาดนี้

19 มีนาคม 2563
แม่ที่อยู่เมืองไทยรู้ว่าป่วยและอาการไม่ดีขึ้นไข้สูงถึง 39.2 องศาเลยโทรไปปรึกษาพี่สาวเราที่อยู่ที่อังกฤษมาก่อนเป็นเวลาเจ็ดปีพี่สาวเรารู้ดีว่าที่อังกฤษเข้าถึงหมอและการรักษายากลำบากมากจนบางคนกินยาจนหายไปเอง จนถึงได้คิวไปโรงพยาบาล จึงบอกให้เราหาทางกลับมาให้ได้มารักษาที่เมืองไทย มาตรวจที่เมืองไทยว่าเป็นอะไรอย่างน้อยบ้านเราก็ทำการรักษาให้ไม่ปฏิเสธการรักษาแบบนี้ แต่การที่จะเดินทางกลับมาได้รัฐบาลออกกฏหมายใหม่ให้มีเอกสารในการดำเนินเรื่องอยู่คือ

1.) ต้องมีใบรับรองแพทย์จากที่นั่นว่าเรามีความพร้อมในการเดินทางได้คือไม่มีใครแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะรับประกันหรือรับรองผลการตรวจให้เราว่าติดโควิด-19 หรือไม่เพราะรัฐบาลเค้าไม่ให้ตรวจเราก็กินยาพาราเรื่อยๆให้รถไทยและไปขอใบตรวจกับหมอที่คลินิกเอกชนแห่งหนึ่งในลอนดอนเสียค่าใบรับรองไป 40 ปอนด์หรือ 1600 บาทและค่าตรวจของหมอที่แค่เอาเครื่องวัดอุณหภูมิมาวัดที่หูของเราแค่นั้นเราก็ภาวนาให้เครื่องไม่มีอุณหภูมิเยอะและก็ได้รับใบรับรองว่าไม่มีใครเดินทางได้มา

2.) เราก็เดินทางไปที่สถานทูตไทยในกรุงลอนดอนต่อเพื่อไปยื่นเอกสารรับรองว่าเรามีใบรับรองแพทย์มาปรากฏว่าไปถึงหน้าสถานทูตนักเรียนไทยเค้าต่อคิวอยู่ประมาณ 200 กว่าคนเพื่อขอหนังสือรับรองการกลับไทยเหมือนกับเรา เราสอบถามเจ้าหน้าที่เค้าบอกว่าเราต้องจองตั๋วด้วยมีตั๋วกลับหรือยังต้องจองตั๋วก่อนถึงจะได้ใบรับรองจากสถานทูตด้วย ดังนั้น เราก็เลยกลับบ้านไปพร้อมกับความผิดหวังว่ายังคงกลับไม่ได้เร็วๆนี้แน่ ใบรับรองแพทย์ก็มีผลได้แค่ 72 ชั่วโมง หลังจากการตรวจเราเลยรอไม่ได้กลับมาในคืนนั้นเลยโทรปรึกษากับที่บ้านเค้าก็ให้เรารีบดำเนินการหาตั๋วกลับมาและจองเลยจ่ายเงินซึ่งก็เสี่ยงมากไม่รู้ว่าจ่ายเงินแล้วจะได้กลับไหมจะเสียเงินค่าตั๋วทิ้งไปหรือเปล่าแต่ชั่วโมงนั้น ยังไงก็ต้องเสี่ยงทำอะไรได้ ก็รีบทำ

20 มีนาคม 2563
เราก็มีอาการไอและเจ็บหน้าอกเหมือนเดิมและอึดอัดหายใจลำบากมากหาตั๋วไม่ได้ กดจองตั๋วไม่ทัน เต็มหมดเลย จะว่างก็อาทิตย์หน้าเราก็เลยให้เพื่อนที่เมืองไทยช่วยหาเว็บต่างๆและส่งลิงค์มาให้ ซึ่งมันก็แพงกว่าราคาปกติแต่เราก็ต้องยอมเพราะอยากกลับบ้านมาก สรุปเราจองตั๋วได้ใหม่คืนกลางดึกของวันที่ 20 และได้บินในเวลา 21.35 ของคืนวันถัดมาเลยคือวันที่ 21 มีนาคม 2563 เราก็เลยสแกนส่งเอกสารใบรับรองแพทย์และตั๋วเครื่องบินที่เราจองส่งเมลล์ เข้าไปที่สถานทูตไทยเพราะถ้าเราทำเองคงไม่ทันเวลาที่จะบินแน่ๆเลยขอให้ทางสถานทูตส่งใบตอบรับการเดินทางกลับมาทางเมลล์ให้เรา

ภาพจากอีจัน
21 มีนาคม 2563 ช่วงเวลา 10 โมงเช้าเราก็ได้รับเมลตอบรับจากทางสถานทูตพร้อมทั้งมีใบรับรองการเดินทางกลับไทยได้แนบมาด้วยสถานทูตบอกให้ปริ้นใบนี้แนบกับใบรับรองแพทย์และยื่นให้เจ้าหน้าที่เพื่อเช็กอินที่สนามบินปริ้น boarding pass และเดินทางต้นเครื่องกลับไทยได้ในคืนนั้นเลยเราก็ไปที่สนามบินและทำตามขั้นตอนทุกอย่างในตลอดระหว่างการเดินทางเราใส่หน้ากากปิดปากปิดจมูกเอ็นเก้าห้าอย่างแน่นหนาและรัดกุมพยายามแยกที่นั่งออกให้ห่างจากคนอื่นเพราะว่าเที่ยวบินนั้นคนกลับไม่เต็มลำเพราะบางคนก็จองตั๋วได้ แต่ติดเรื่องเอกสารการเดินทางเลยไม่ได้ขึ้นเครื่องมาทำให้ที่วางข้างๆ เราสามารถขยับไปนั่งไกลๆคนอื่นเพราะก็ไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อหรือยังแต่ก็ป้องกันคนอื่นไว้ก่อน

22 มีนาคม 2563
เราเดินทางมาถึงเมืองไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิตอนเวลา 16:00 น. แต่กว่าจะได้ออกจากเครื่องก็ใช้เวลานานและผ่านจุดตรวจตม. คัดกรองคนด้วย เมื่อเราถึงเราก็พยายามบอกและแจ้งเจ้าหน้าที่ในสนามบินบ้านเรามีอาการป่วยมาเค้าก็เอาเครื่องยิงวัดอุณหภูมิที่หน้าผาก ปรากฏว่าไม่มีไข้ขึ้นเป็นตัวเลข 36.5 องศา เราก็บอกว่าเรามีไข้เพราะเราวัดไข้มาเรื่อยๆบนเครื่องบินเรามีเครื่องวัดไข้พกเอง เขาก็ไม่สนใจอะไรให้เราผ่านตม.ออกมาจนเรามาเจออีกด่านก่อนเอากระเป๋าเราก็แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าเรามีไข้ มีไข้ขึ้นสูงมา เขาก็เอาที่ยิงวัดอุณหภูมิมายิงที่หน้าผากอีก ก็ไม่พบว่าเรามีไข้เราก็บอกขอร้องเขาว่าเอาเราไปกักตัวเถอะเพราะเราอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเจ้าหน้าที่เค้าก็มาบอกกับเราว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายกักตัวคนไม่มีไข้ ให้เรากลับไปกักตัวที่บ้านเอง 14 วัน เราก็ได้แต่ถอนหายใจและเดินออกมาเอากระเป๋าและนั่งทำใจสักพักแต่ระหว่างนี้เราก็ระวังตัวเสมอ ไม่อยากไปใกล้ใครและใส่หน้ากาก N95 ตลอดเวลาเพื่อป้องกันคนอื่น เพราะเราก็ไม่แน่ใจว่าเราติดหรือไม่ติดโควิด-19 จากนั้นเราก็ไม่รู้จะทำยังไงเลยหาข้อมูลเพื่อจะไปโรงพยาบาลหลายแห่งเพื่อตรวจทั้งรัฐและเอกชนแต่พอโทรเข้าไปบางที่ก็ไม่มีน้ำยาเหลือตรวจบางที่ก็หมดไม่ได้รับทำการตรวจแล้วจนเราเจอที่หนึ่งที่สามารถจะพอเข้าไปตรวจได้และมีน้ำยาเหลือคือที่โรงพยาบาลพญาไทนวมินทร์แต่ก็เปิดรับตรวจแค่ 8 โมงเช้าถึงหนึ่งทุ่มตอนนั้นเราอยู่ที่สนามบินก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้วคงไปตรวจไม่ทัน ก็เลยต้องตัดสินใจไปพักที่โรงแรมก่อนเพื่อตื่นเช้าจะได้ไปตรวจระหว่างเดินทางไปที่โรงแรมเราก็นั่งแท็กซี่ใส่หน้ากากตลอดเวลาและบอกให้พี่แท็กซี่ทราบว่าเรามีอาการไม่สบายมาและขอให้พี่เค้าลดกระจกลงเพื่อระบายอากาศตลอดเวลาในขณะขับรถพี่เค้าเองก็ใส่หน้ากากอยู่แล้วพี่เค้าก็บอกอีกว่าไม่ใช่น้องที่เป็นผู้โดยสารคนแรกที่พี่รับมาจากต่างประเทศและป่วยแต่อาชีพพี่มันเสี่ยงไม่ทำตรงนี้ก็จะไม่มีกิน เราก็เห็นใจเค้าเลยให้ติ๊บพี่เค้าไปพอสมควรเมื่อพี่เขาส่งเราถึงโรงแรมเราก็เข้าไปพักที่โรงแรมประจำของเราที่เขารู้จักเราดีเมื่อเรามากรุงเทพมหานคร เราจะพักที่โรงแรมนี้เค้าก็จำเราได้โรงแรมเงียบมากแทบจะไม่มีแขกมาพักเลยเพราะโรงแรมนี้ส่วนใหญ่รับแต่ลูกค้ากรุ๊ปทัวร์จีน

เราก็แจ้งเช็กอินและบอกให้เค้าแยกเราไว้ห้องไกลๆไม่มีคนในชั้นนั้นได้ยิ่งดีเพราะเราไม่แน่ใจว่าเราติดโควิดมาหรือเปล่าเพราะเราป่วย เค้าก็จะให้เราไปอยู่ห้องเเละชั้นที่ไม่มีใครเลย ระหว่างนี้เราก็นอนพักจนในคืนนั้นตีสองเราไอจนแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกเลยติดต่อหน่วยฉุกเฉินโรงพยาบาลพระรามเก้าเลยโทรไปเล่าอาการและประวัติการเดินทางว่าเราเพิ่งกลับจากต่างประเทศ เค้าก็ให้คำแนะนำเราดีแต่เขาไม่สามารถตรวจโควิด-19 ให้เราได้เลยเพราะน้ำยาหมดและห้องฉุกเฉินของเขาก็เต็มไม่มีห้องพอสำหรับห้องฆ่าเชื้อพิเศษที่จะรองรับให้เรานอนได้จึงแนะนำให้เราโทรไปที่โรงพยาบาลปิยะเวทเราก็โทรไปก็ได้รับคำตอบเหมือนกันว่าห้องปลอดเชื้อเต็มแล้วและมาตรวจรักษาได้แต่ต้องกลับบ้านไปนอนพักรักษาตัวเองเราเลยโทรไปขอคำปรึกษาเค้าว่าต้องทำอย่างไรเค้าเลยบอกว่าให้เราไปที่โรงพยาบาลราชวิถีเลย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่รับเรื่องและศูนย์ใหญ่ของโควิด-19 แถวนี้

ภาพจากอีจัน

เราก็เรียกแท็กซี่ตอนตีสองครึ่งไปถึงที่โรงพยาบาลราชวิถีเราก็ทำแบบเดิมบอกพี่แท็กซี่แบบเดิมว่าเรามีอาการป่วยและกดกระจกลงทั้งหมดระหว่างการเดินทางเมื่อไปถึงโรงพยาบาลราชวิถีเราก็ไปทำบัตรผู้ป่วยและแจ้งข้อมูลอาการของเราและประวัติการเดินทางมาจากต่างประเทศของเราเขาก็แยกตัวเราออกไปนั่งรออยู่ในห้องพิเศษปลอดเชื้อแต่ไม่มีเตียงมีแต่เก้าอี้แค่ไม่กี่ตัวที่เราต้องนั่งรอหมอเพื่อทำการตรวจรักษาตอน 8 โมงของเช้าอีกวันเรารอในห้องนั้นนานมากจนถึงตีสี่เราไม่ไหวพยาบาลก็เลยโทรมาบอกเราว่าถ้ารอไม่ไหวก็กลับไปนอนที่บ้านแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาตรวจตอน 8 โมงเช้าเพราะที่นี่ไม่มีเตียงให้เราสามารถนอนรอได้เราเลยตัดสินใจกลับไปที่โรงแรมเพื่อมารอตรวจ ตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นมันเป็นคืนที่ยาวนานและทรหดอดทนมากที่สุดในชีวิตที่เราจะไม่มีวันลืม

ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน

23 มีนาคม 2563

เราก็ตื่นเดินทางไปที่โรงพยาบาลราชวิถีอีกครั้งตอนประมาณ 11.30 น. ปรากฏว่าไปพบการเข้าแถวเรียงคิวรอตรวจอยู่หน้าเต็นกลางแดดที่มีคนรอคิวหลาย 100 คนบางคนถึงกับบ่นว่าเราไม่ได้ตายเพราะติดโควิดหรอก แต่ตอนนี้จะตายเพราะแดดร้อนมากกว่าเพราะมารอตรวจกันตั้งแต่เช้าจนบ่ายสองยังไม่ได้รับการตรวจเลย ก็เข้าใจนะว่าตอนนี้คนตรวจเยอะมากทั่วประเทศเราเห็นท่าคงจะรอไม่ไหวเลยมาตรวจที่โรงพยาบาลพญาไทนวมินทร์ที่เราโทรถามเมื่อวานที่สนามบินเรามาถึงตอน 15:00 น. พนักงานและเจ้าหน้าที่ของที่นี่บริการดีมากๆและมีบริการให้เราได้รับการตรวจรักษาโดยเร็วจนเราได้พบคุณหมอและอธิบายอาการต่างๆและประวัติของเราอย่างละเอียดให้คุณหมอฟังหมอก็บอกว่าเราอยู่ในกลุ่มที่เสี่ยงมากและอาจเป็นไปได้ว่าได้รับเชื้อเลยทำการเก็บน้ำในจมูกของเราและเนื้อเยื่อในลำคอของเราส่งข้อมูลเข้าเพื่อขอการตรวจหาเชื้อโควิด จากทางกระทรวงสาธารณสุขส่วนกลางซึ่งก็ตรวจไปก็ไม่รู้ว่าจะทราบผลเมื่อไหร่เพราะตอนนี้คนตรวจและรอคิวเยอะมากๆแต่หมอสังเกตเห็นอาการเราไอมากเราเลยโดนจับแยกมาอยู่ห้องควบคุมพิเศษขอหมอทำการเอ็กซเรย์ปอด เพื่อตรวจดูให้ละเอียดว่าเราทนกับอาการมานานเป็นสัปดาห์แล้ว จากนั้นหมอก็ทำการเอ็กซเรย์ปอดเราและพบว่ามีฝ้าเกาะที่ปอดจำนวนมากผิดปกติ เลยส่งตัวเราแอดมิดเลยในช่วง 17.00 ของวันนั้นเลย และให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านปอดเข้ามาดูปอดและทำการรักษาวินิจฉัย หมอเข้าห้องปลอดเชื้อพิเศษที่เราอยู่ มาตรวจดู ฟังเสียงปอดเรา และแผ่นเอ็กซเรย์ปอดก็พบว่า เรามีอาการปอดติดเชื้ออย่างรุนแรงมาก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ยังไม่รู้ว่าคือโควิด-19 หรือเปล่า แต่คุณหมอ ชื่อคุณหมออินทิรา เป็นหมอผู้เชี่ยวชาญด้านปอด คนเดียวของโรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ ก็ตัดสินใจเริ่มดำเนินการให้ยาต้านไวรัสโควิด-19 และเริ่มรักษาอาการเหมือนผู้ป่วยโควิด-19 เลยในคืนนั้น

แต่ก่อนจะได้รับยา คุณหมอก็ได้อธิบายให้เราเข้าใจขั้นตอนและแนวทางวิธีการรักษาของกฎกระทรวงที่เมืองไทย คือ เราต้องเซ็นเอกสารเพื่อยอมรับวิธีและแนวทางการรักษาถึงจะได้รับการเบิกยารักษาจากห้องยาได้และเป็นยาชนิดพิเศษที่ทางการจีนก็ใช้รักษาและเป็นยาอันตรายที่ไม่ใช่ใครก็ใช้ได้ ชั่วโมงนั้นเราก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ให้เซ็นอะไรก็เซ็นเอาชีวิตและการรักษาไว้ก่อน หลังจากที่เราได้เซ็นไป เราก็ได้รับการรักษาและให้ยาเปรียบเสมือนผู้ป่วยโควิด-19 เลย ในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 23 มีนาคม 2563

ภาพจากอีจัน

24 มีนาคม 2563
หลังจากคืนนั้นทั้งคืน เราได้รับยา ตื่นมาเรามีอาการหายใจโล่งปอดขึ้น อาการเป็นไปในทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังมีอาการไอมากอยู่จนเจ็บคอและมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว ท้องเสียรุนแรง ความดันต่ำ ตลอดทั้งคืน หลังจากได้รับยา คุณหมอบอกว่าอาจเป็นผลจากอาการข้างเคียงของการได้รับยารักษาโควิด-19 และคุณหมอก็เข้ามาตรวจเราและบอกว่า ผลตรวจยังไม่ออกเลยว่าเราติดเชื้อหรือไม่ติด หมอเองก็ใจร้อนอยากรู้เหมือนกัน ว่าเป็นอย่างไร แต่เพราะด้วยคนตรวจมากเลยทำให้รู้ผลช้า หมอบอกว่าถ้าเราติดโควิดตอนนี้ก็จะเป็นระยะที่สามของโรค และเสียงปอดของเราก็ยังแย่อยู่เพราะไวรัสตัวนี้มันเข้าไปในปอดของเราแล้ว เราทนอยู่ได้อย่างไรที่อังกฤษตั้งนาน โดยเขาไม่ทำการรักษาอะไรเลย

25 มีนาคม 2563
อาการเราก็ยังทรงๆ เหมือนเดิม แต่ยังพอหายใจช่วยเหลือตัวเองได้ในระหว่างการได้รับรักษาและดูแลจากเจ้าหน้าที่ พยาบาล และหมอที่นี่ เราก็บอกและพูดกับทุกท่านตลอดเวลาว่า ระวังตัวด้วยนะคะ เราเป็นห่วงที่มาดูแลพวกเรา แต่เจ้าหน้าที่ และคุณหมอทุกๆ ท่านก็ดีมากๆ บอกเราว่าไม่เป็นไร มันคือหน้าที่ของเขา และเราก็เฝ้าถามตลอดว่าผลออกมาหรือยัง เพราะแม่และทุกคนก็รออย่างใจจดใจจ่อที่จะรู้ผล เพื่อนฝรั่งที่อังกฤษของเราก็รอผลการตรวจของเราเหมือนกัน เพราะเพื่อนอีก 3 คนที่นั่นมีอาการป่วยตามๆ เรามาเหมือนกัน แต่เขาก็ต้องกินยาพารา รักษาตัวเองที่บ้านเพราะรัฐบาลที่นั่น ไม่ตรวจให้
จนเวลา 17:00 น. เราก็ได้รับข่าวจากพยาบาลที่เขามาดูแลเราว่า ผลออกมาแน่ชัดแล้วว่าเราติดโควิด-19 จริงๆ เท่านั้นแหละ อาการช็อก หูดับ ฟังอะไรไม่รู้เรื่อง น้ำตาก็ไหลออกมาเป็นสายไม่หยุดเลย พอตั้งสติได้ก็โทรไปบอกแม่และบอกคนใกล้ชิดทุกคนให้ได้รับรู้ แม่เองเขาก็บอกว่ารู้และทำใจมานานแล้ว ว่าเราต้องติดโควิด ที่เขาดีใจที่เอาเรากลับมาที่ไทยได้และได้รับการรับการรักษา จากนั้นเราก็เริ่มตั้งสติได้ แต่แม่ก็เตือนสติเรา ให้โทรไปบอกที่โรงแรมที่เราพัก ว่าเราติดโควิด-19 ให้เขาได้ทำการฆ่าเชื้อห้องพักและกระเป๋าเดินทางของเราและให้ระวัง เพราะเราไม่อยากให้ใครต้องได้รับเชื้อจากเรา และเราก็ขอโทษทางโรงแรมที่ทำให้ทางโรงแรมต้องเดือดร้อน แต่เจ้าหน้าที่ พนักงานที่นั่น ก็ดีทุกคนเลย ต่างพากันให้กำลังใจเราและขอบคุณที่ห่วงใยพนักงาน อุตส่าห์โทรมาแจ้งผลการตรวจ

จากนั้น เราก็ให้คนช่วยติดต่อและประสานงานกับเจ้าหน้าที่บริษัทการบินที่เราได้เดินทางกลับมาด้วย และส่งใบเลขที่นั่งและเที่ยวบินที่เราเดินทางกลับมา พร้อมใบตรวจรับรองผลการติดโควิด-19 ของเรา ให้สายการบินได้รับรู้และดำเนินการ ตามขั้นตอนและแจ้งให้ทุกคนในสายการบินนั้นทราบว่า ให้ไปตรวจเฝ้าระวังและกักตัวเอง จากนั้น เราก็ส่งข่าวบอกเพื่อนฝรั่งของเราที่อังกฤษ ให้เขาดูแลและหาทางรีบทำการรักษาตัวเองให้ได้ และแจ้งไปยังทางโรงเรียนเพื่อให้ทำการดรอปเรียนไว้ก่อนจนกว่าจะรักษาตัวให้หายเป็นปกติ

หลังจากที่เราทราบผลเราก็ร้องไห้ตลอด ห่อเหี่ยวจิตใจ จนคุณหมอและพยาบาลเข้ามาจับมือเราและปลอบให้กำลังใจเราว่า ให้เราสู้กับโรคโควิด-19 ไปด้วยกัน ถ้าเราห่อเหี่ยวจิตใจ จะทำให้ร่างกายยิ่งทรุดหนัก ไม่ผลิตต่อมสารต่อต้านเพื่อสู้กับโรคภายในร่างกายเรา ก็รู้นะแต่มันยังทำใจไม่ได้จริงๆ

สุดท้ายนี้เราก็แค่อยากจะมาเปิดเผยข้อมูลและประสบการณ์เพื่อเป็นเครื่องคอยเตือนใจและเตือนสติทุกคนให้ระวัง สังเกตอาการตัวเองและคนใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา ดูแลสุขภาพกันด้วยนะ และต้องขอโทษทุกคนและประเทศไทยด้วยที่เราเอาเชื้อโควิด-19 จากประเทศอังกฤษกลับเข้ามายังประเทศไทย ต้องขอโทษจริงๆค่ะ”