ตำรวจทางหลวงจับทหารเก๊

โอละพ่อ ! ออกใบสั่งไปยังเจ้าของรถให้มาเสียค่าปรับ เจ้าของรถบอกแจ้งความจับคนขโมยรถและตามหาตัวอยู่นานแล้ว

ตำรวจทางหลวงจับผู้ต้องหาที่มีหมายจับติดตัวพร้อมกัน 2 หมายจับ ในคดียักยอก และคดีแต่งเครื่องแบบทหารโดยไม่มีสิทธิ์ฯและร่วมกันฉ้อโกง

ก่อนเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ตรวจสอบรถยนต์ยี่ห้อหนึ่งซึ่งขับด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ผ่านกล้องตรวจจับความเร็ว จึงได้ออกใบสั่งไปถึงผู้เสียหาย ต่อมาผู้เสียหายได้เข้ามาแจ้งว่าตนเองไม่ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าว เนื่องจากถูกผู้ต้องหายักยอกรถไป โดยได้แจ้งความไว้เรียบร้อยแล้ว และจากการซักถามได้ความว่า ผู้เสียหายได้ไปรู้จักกับผู้ต้องหาที่ร้านประดับยนต์แห่งหนึ่งหลังตลาดมีนบุรีเมื่อปลายปี 59 โดยผู้ต้องหาได้เข้ามาแนะนำตัวว่าตนเองเป็นทหารตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ จากนั้นจึงได้พูดคุยกันเรื่อยมา และอ้างว่าตนเองมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องรถ และมีพรรคพวกที่รู้จัก รับซื้อขายรถด้วย


ต่อมาผู้เสียหายต้องการขายรถเพื่อนำมาใช้หนี้ให้ครอบครัว จึงได้ปรึกษาผู้ต้องหา และเมื่อวันที่ 18 ส.ค.60 ผู้ต้องหาได้พาผู้เสียหายไปขายรถที่ร้านคาร์แคร์ของเพื่อนย่านสมุทรปราการ ในราคา 280,000 บาท จากนั้นได้แนะนำชักจูงให้ผู้เสียหายซื้อรถคันใหม่ (คันที่ถูกยักยอก) จากเพื่อนของผู้ต้องหา ในราคาเดียวกันกับราคาที่ขายรถไป คือ 280,000 บาท ผู้ต้องหาใจอ่อนจึงยอมซื้อ โดยทำสัญญาซื้อขายในวันนั้นเลย

ภาพจากอีจัน
ต่อมาเมื่อผู้เสียหายใช้รถได้ประมาณ 5 เดือน รถคันดังกล่าวไม่สามารถใช้การได้ จึงแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบ ผู้ต้องหาจึงนำรถไปซ่อมให้ จากนั้นผู้เสียหายก็ไม่ได้รับรถคืนอีก และไม่สามารถติดต่อผู้ต้องหาได้อีก ผู้เสียหายจึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ฉลองกรุง ให้ดำเนินคดี
ภาพจากอีจัน
จากการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาทราบอีกว่า ผู้ต้องหายังมีหมายจับศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ข้อหาแต่งเครื่องแบบทหารโดยไม่มีสิทธิ์ฯ และร่วมกันฉ้อโกง สืบเนื่องจากประมาณ เดือนกันยายน 2557 ผู้ต้องหากับพวกได้เข้าไปหลอกลวงผู้เสียหายที่อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ใน อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด ว่าตนเองกับพวกสามารถทำให้โครงการผนังกั้นน้ำในหมู่บ้านอนุมัติผ่านได้ แต่ต้องมีค่าใช้จ่าย ซึ่งในวันนั้นผู้ต้องหาได้เเต่งเครื่องแบบทหารเรือไปด้วย ทำให้กลุ่มผู้เสียหายหลงเชื่อใจ จึงจ่ายค่าดำเนินการไปให้จำนวนนึง แต่ต่อมาโครงการไม่คืบหน้าและไม่สามารถติดต่อผู้ต้องหาได้จึงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา จนกระทั่งวันที่ 14 มี.ค.63 เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบพบผู้ต้องหา จึงได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและแสดงหมายจับให้ผู้ต้องหาดูและอ่านให้ฟังจนเข้าใจดีแล้ว รับว่าตนเองเป็นบุคคลตามหมายจับนี้จริง และไม่เคยถูกจับกุมตามหมายจับนี้มาก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการจับกุมตัวส่ง พนักงานสอบสวน สน.ฉลองกรุง ดำเนินคดีต่อไป