เปิดพฤติการณ์ บรรยินกับพวก อุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา

ย้อนพฤติการณ์ พ.ต.ท. บรรยินกับพวก อุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา – เฝ้าดูพฤติกรรมตั้งแต่ 7 ม.ค. 63

หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2558 หรือเมื่อ 5 ปีที่แล้ว พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีต ส.ส. นครสวรรค์ หลายสมัย ตกเป็นจำเลยในคดีฆ่าเสี่ยชูวงษ์ แซ่ตั๊ง วัย 50 ปี นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหมื่นล้าน จนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ

ภาพจากอีจัน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ต่อมาในปี 2563 เมื่อวันที่ 23 ก.พ. ที่ผ่านมา ชื่อของ พ.ต.ท.บรรยิน กลับมาเป็นข่าวคึกโครมอีกครั้ง หลังจากที่ พ.ต.ท.บรรยิน ถูกชุดสืบสวนของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นำกำลังจับกุม พร้อมพวกรวม 6 คน หลังพบว่ามีส่วนพัวพันฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีโอนหุ้นมูลค่ากว่า 300 ล้านของ นายชูวงษ์ โดย 3 ใน 6 ผู้ที่ถูกจับกุมรับสารภาพว่า …

ได้ฆาตกรรมพี่ชายผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีโอนหุ้น ก่อนเผาอำพรางศพในเขตจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งคดีดังกล่าว ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้ดำเนินการสืบพยานโจทก์-จำเลย ทั้ง 2 ฝ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 20 มี.ค. 2563 

ภาพจากอีจัน
ย้อนพฤติการณ์ของ พ.ต.ท.บรรยิน และพวก ก่อนถูกจับกุม พัวพันฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา คดีนี้ สืบเนื่องจากพนักงานอัยการกองคดีอาญากรุงเทพใต้ และทายาทของนายชูวงษ์ แซ่ตั้ง ผู้ตาย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ กับพวก เป็นจำเลยต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดเกี่ยวกับการปลอมเอกสาร ใบโอนหุ้น และมีการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั้ง ไปให้พรรคพวกของ พ.ต.ท.บรรยิน ที่ร่วมกระทำความผิดโดยทุจริต ซึ่งเป็นคดีที่มีความเกี่ยวพันกับการฆาตกรรมอำพรางนายชูวงษ์ แซ่ตั้ง

ซึ่ง พ.ต.ท.บรรยิน ถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดพระโขนง อีกคดีหนึ่ง และศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้สั่งรวมสำนวนเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.305/2561 โดยมอบหมายผู้พิพากษาอาวุโสเป็นเจ้าของสำนวน ซึ่งได้มีการสืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว และมีการนัดหมายฟังคำพิพากษาคดีดังกล่าว ในวันที่ 20 มีนาคม 2563

ต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 – ผู้ต้องหาที่ 6 รวม 6 คน ได้สมคบกันเพื่อทำการลักพาตัวพี่ชายของ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน เพื่อนำไปข่มขู่ให้ผู้พิพากษา มีคำพิพากษายกฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก พร้อมกับให้คืนเงินกับหุ้นในคดีทั้งหมดแก่ พ.ต.ท.บรรยิน ซึ่งมีการวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำ

เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 ผู้ต้องหาที่ 1 ได้มอบโทรศัพท์มือถือให้กับผู้ต้องหาที่ 2 และผู้ต้องหาที่ 3 คนละ 1 เครื่อง ส่วนผู้ต้องหาที่ 1 มีไว้ใช้เองจำนวน 2 เครื่อง จากนั้นได้เดินทางจากจังหวัดนครสวรรค์ มายังกรุงเทพมหานคร ด้วยรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด รุ่น เอฟเวอร์เรสต์ สีดำ ทะเบียน กร 39 นครสวรรค์ มาถึงบ้านเลขที่ 9/13 ซอยคลังมนตรี แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร จากนั้นผู้ต้องหาที่ 2 และผู้ต้องหาที่ 3 ได้ช่วยกันนำรถจักรยานยนต์ขึ้นท้ายรถกระบะทะเบียน บย 8386 นครสวรรค์ โดยมีผู้ต้องหาที่ 2 เป็นคนขับ และมีผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 3 นั่งไปด้วย โดยขับมาจอดในวัดสุทธิวราราม

จากนั้นผู้ต้องหาที่ 2 กับพวก ได้นำรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวมาติดแผ่นป้ายทะเบียน ลจข 579 กรุงเทพฯ และผู้ต้องหาที่ 3 ได้ขี่รถจักรยานยนต์ ไปเฝ้าดูผู้พิพากษา และพี่ชายผู้พิพากษา แต่ไม่พบ จึงได้จอดรถจักรยานยนต์ไว้ที่บริเวณข้างธนาคารกรุงไทย ใกล้ศาลอาญากรุงเทพใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร แล้วนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านมาที่ซอยคลังมนตรีฯ ส่วนผู้ต้องหาที่ 1 เป็นผู้ขับรถยนต์กระบะกลับบ้านไป

ต่อมาในวันที่ 8, 12, 13, 14, 15, 16, 17 และ 20 มกราคม 2563 ผู้ต้องหาที่ 1 – ผู้ต้องหาที่ 3 ยังคอยติดตาม สะกดรอยเฝ้าดูพฤติการณ์ของผู้พิพากษา และพี่ชายผู้พิพากษา ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ไปจนถึงบ้านพัก ย่านถนนวรจักร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ โดยมีการใช้รถจักรยานยนต์ติดแผ่นป้ายทะเบียน ลจข 579 กรุงเทพฯ และใช้รถยนต์ ยี่ห้อมินิคูเปอร์ ทะเบียน 2 กฐ 524 กรุงทพฯ ในการเฝ้าติดตาม จนได้ทราบถึงพฤติกรรมและกิจวัตรประจำวันของผู้พิพากษา และพี่ชายผู้พิพากษา โดยในแต่ละวันพี่ชายผู้พิพากษา จะนั่งรถแท็กซี่จากบ้านพักมารับ-ส่ง ผู้พิพากษา ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เป็นประจำ ซึ่งผู้ต้องหาที่ 1 – ผู้ต้องหาที่ 3 ได้มีการจัดเตรียมยานพาหนะที่ใช้ในการก่อเหตุไว้ เป็นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า สปอร์ตไรเดอร์ ทะเบียน ชฉ 683 กรุงทพฯ ซึ่งมี พ.ต.ท.ประเสริฐ ผลประสาร เป็นเจ้าของและผู้ครอบครอง โดยนำมาถอดแล็คหลังคา บันไดด้านหลัง และกระจกที่กันแมลงหน้ารถออก แล้วนำแผ่นป้ายทะเบียน 3 กว 7719 กรุงเทพฯ มาติดไว้แทน เพื่ออำพราง

และก่อนถึงวันที่จะลงมือก่อเหตุลักพาตัว ผู้ต้องหาที่ 1 ได้สั่งการให้ผู้ต้องหาที่ 3 ซื้อน้ำมันเบนชิน 95 พร้อมให้จัดเตรียมแผ่นสังกะสี และยางรถยนต์ 4 เส้นไว้ โดยผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 3 ได้ร่วมกันขนสิ่งของดังกล่าว เข้าไปยังจุดที่บริเวณเขาใบไม้ ตำบลตาคลี อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ โดยใช้รถยนต์กระบะ ซึ่งมีผู้ต้องหาที่ 3 เป็นผู้ขับขี่

ต่อมาในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 ก่อนเกิดเหตุ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ขับรถยนต์โตโยต้า รุ่นสปอร์ตไรเดอร์ ติดแผ่นป้ายทะเบียน 3 กว 7719 กรุงเทพฯ ออกจากบ้านเลขที่ 9/13 ซอยคลังมนตรีฯ โดยมีผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่รถยนต์ ยี่ห้อฟอร์ด เอฟเวอร์เรสต์ สีดำ ทะเบียน กร 39 นครสวรรค์ ขับตามออกไปในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยผู้ต้องหาที่ 2 ขับรถยนต์ ยี่ห้อฟอร์ด เอฟเวอร์เรสต์ ขับออกไปทางอำเภอบางบัวทอง มุ่งหน้าไปจังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนรถยนต์สปอร์ตไรเดอร์ คันที่ใช้ก่อเหตุ ได้ขับขึ้นทางด่วนที่ด่านเก็บเงิน "พหลโยธิน" ขับลงที่ถนนจันทร์ แล้วไปจอดรอที่ฝั่งตรงข้ามศาลแขวงกรุงเทพใต้ (จุดเกิดเหตุ)

เมื่อพี่ชายผู้พิพากษา ลงจากรถแท็กซี่ผู้ต้องหาที่ 1, ผู้ต้องหาที่ 3 ผู้ต้องหาที่ 4 และผู้ต้องหาที่ 5 ก็ร่วมกันพาตัวพี่ชายผู้พิพากษาขึ้นรถ แล้วขับหลบหนีขึ้นทางด่วนที่ด่าน "สุรวงศ์" ก่อนที่จะขับไปเข้าทางด่วนที่ด่าน "บางซื่อ 1" ก่อนที่จะขับมุ่งหน้าไปทางอำเภอบางบัวทอง และจังหวัดสุพรรณบุรี ระหว่างนั้น ผู้พิพากษา ได้โทรศัพท์ไปหาพี่ชาย แต่ถูกผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก ได้ออกอุบายว่า พี่ชายผู้พิพากษา เกิดอุบัติเหตุ เมื่อผู้พิพากษา ตรวจสอบตามโรงพยาบาลต่างๆ แล้วไม่พบเหตุ จึงไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระหว่างนั้น ผู้พิพากษา ได้โทรศัพท์ไปยังหมายเลขของพี่ชายอีกครั้ง ผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก จึงได้พูดข่มขู่ ผู้พิพากษา ให้พิพากษายกฟ้องคดีของ พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก พร้อมกับให้คืนเงินกับหุ้นทั้งหมด และหากไม่ทำตามก็จะฆ่าพี่ชายของผู้พิพากษา

ผู้พิพากษา จึงได้มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม ซึ่งในเวลาต่อมา ผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก ก็ได้ร่วมกัน ฆ่าพี่ชายของผู้พิพากษา แล้วนำศพไปเผาอำพราง ในพื้นที่ ตำบลตาคลี อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ก่อนที่จะนำศพของ พี่ชายผู้พิพากษา ที่ยังเผาไหม้ไม่หมด รวมทั้งเถ้ากระดูก และเถ้าถ่านในจุดที่เผา ไปทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อทำลายหลักฐานในการกระทำผิด

พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นคำร้องขอหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 6 คนต่อศาลอาญา และศาลได้ออกหมายจับ

1. พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อายุ 57 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 221/2563 ลง 19 ก.พ. 63
2. นายมานัส ทับทิม อายุ 67 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 222/2563 ลง 19 ก.พ. 63
3. นายณรงศักดิ์ ป้อมจันทร์ อายุ 49 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 223/2563 ลง 19 ก.พ. 63
4. ด.ต.ธงชัย วจีสัจจะ อายุ 63 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 249/2563 ลง 23 ก.พ. 63
5. นายชาติชาย เมณฑ์กูล อายุ 31 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 250/2563 ลง 23 ก.พ. 63
6. นายประชาวิทย์ ศรีทองสุข อายุ 33 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 248/2563 ลง 23 ก.พ. 63

ในความผิดฐาน "ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่สามคนขึ้นไป, เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป, พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถโดยหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด"

และต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ได้ทำการจับตัวผู้ห้องหาที่ 1 – ผู้ต้องหาที่ 6 ตามหมายจับดังกล่าวข้างต้น ซึ่งจากการสอบถามผู้ต้องหาที่ 1 – ผู้ต้องหาที่ 6 ให้การยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับดังกล่าวจริง และไม่เคยถูกจับตามหมายจับดังกล่าวมาก่อน จึงถูกนำตัวส่งที่ทำการของพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

พนักงานสอบสวนได้รับตัวผู้ต้องหาไว้ในความควบคุม ดังนี้

1. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ควบคุมในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 15.10 น.
2. ผู้ต้องหาที่ 2 ได้ควบคุมในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 18.40 น.
3. ผู้ต้องหาที่ 3 ได้ควบคุมตัวในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 05.50 น.
4. ผู้ต้องหาที่ 4 ได้ควบคุมตัวในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 14.45 น.
5. ผู้ต้องหาที่ 5 ได้ควบคุมตัวในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 14.45 น.
6. ผู้ต้องหาที่ 6 ได้ควบคุมตัวในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 14.45 น.

ในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาที่ 1,2,6 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนผู้ต้องหาที่ 3,4,5 ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

เหตุเกิดที่บริเวณหน้าศาลแพ่งกรุงเทพใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร แขวงจตุจักร เขตจตุจักรกรุงเทพมหานคร, ตำบลตาคลี อำเภอตาคลี, อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ หลายท้องที่เกี่ยวฟันกัน เมื่อระหว่างวันที่ 7 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน

การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐาน "ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป, เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป, พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่โดยร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด" อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 139 ,140 วรรคแรก,210 วรรคสอง, 289 (4), 309 วรรคสอง, 313 (3) วรรคสาม และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 199 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 ,83

พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนและควบคุมตัวผู้ต้องหาที่ 1 – 6 มาจะครบ 48 ชั่วโมงในวันที่ 25-26 กุมภาพันธ์ 2563 แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบสวนพยานบุคคลจำนวน 20 ปาก รอผลการตรวจสอบวัตถุพยานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากการตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหา และจากที่เกิดเหตุ รอผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุ รอผลการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยความจำเป็นดังกล่าว จึงขออนุญาตฝากขังผู้ต้องหาที่ 6 ไว้ระหว่างการสอบสวน มีกำหนด 12 วัน นับแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ถึงวันที่ 7 มีนาคม 2563

ภาพจากอีจัน
อนึ่ง พนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก เนื่องจากคดีที่มีอัตราโทษสูงเกิน 3 ปี และเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน