หลังจากวานนี้ (11 ก.พ.68) ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษายกฟ้อง “นายตู้ห่าว” และอดีตภรรยายศพันตำรวจเอกหญิง พร้อมกับพวกรวม 19 คน คดีอาชญากรข้ามชาติ-ฟอกเงินและยาเสพติด โดยศาล ชี้ว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
ล่าสุด นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ได้ให้ความเห็นถึงการทำคดีตู้ห่าว ผ่านรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ซึ่งมีหลายประเด็น ดังนี้
1. การวางแผนจับกุมผิดพลาด กำลังเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ ปล่อยผู้ต้องหาไปโดยไม่รู้ตัวเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ยังไม่ได้เก็บข้อมูล จำนวนคน จำนวนพนักงาน โดยเฉพาะผู้ต้องหาที่เป็นตัวการสำคัญ ไม่สามารถจับกุมได้ ทั้งที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ซ้ำยังปล่อยนักท่องเที่ยวจีนที่ฉี่ไม่ม่วงออกไปตามหากุญแจรถแล้วขับรถหนีไป เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ จีนเทาก็ขนของหนี แถมมีเวลาซ่อนยา ที่สำคัญจับตัวการสำคัญคือนายหวัง เจิ้นหนาน หลานชายนายตู้ห่าวไม่ได้ ปล่อยหนีหายไป ทั้งที่อยู่ในที่เกิดเหตุ
2.การเก็บหลักฐานไม่ครบถ้วน ทั้งสถานที่ รถยนต์ เก็บเป็นขยัก และยังเว้นวรรคตามไปเก็บอีกภายหลัง ที่เกิดเหตุมี 3 อาคาร คือ อาคารจินหลิง อาคารลีลา อาคารวิบวับคาร์วอช วันแรก 26 ต.ค. 2565 ค้นแค่อาคารจินหลิง พบยาเสพติด 4 กิโลกรัม เว้นวรรคไปอีก 5 วัน ไปค้นอาคารวิบวับฯ ในวันที่ 1 พ.ย. 2565 พบยาเสพติดเกือบ 1 กิโลกรัม แต่ไปบันทึกเลขคดีในวันที่ 2 พ.ย. 2565 บอกว่าไม่พบผู้กระทำความผิด ทั้งที่ความเป็นจริงพบ นายเหมา หยาง ในกล้องวงจรปิด และอาจมียาเสพติดมากกว่านั้น เพราะเป็นโกดังขนาดใหญ่ แต่ขนหนีออกไปได้
ต่อมา วันที่ 27 พ.ย. 2565 รอง ผบ.ตร. อัยการ ป.ป.ส. ไปตรวจที่เกิดเหตุเพิ่มเติมยังพบของกลาง ถาดไม้ หลอดดูด ที่ปั่นจมูก ชิป อุปกรณ์เล่นการพนัน และพบรถของกลางอีก 11 คัน ยังไม่ได้ตรวจค้น แถมยังตรวจค้นรถตู้ของหลานชายตู้ห่าว ในที่เกิดเหตุ พบอุปกรณ์เสพยาในรถ เมื่อเก็บเป็นขยักและเว้นวรรค ทำให้หลักฐานสูญหาย โดยเฉพาะในคดียาเสพติดต้องมีหลักฐานครบถ้วนเพื่อเชื่อมโยง แต่มีการขัดแย้งในการทำงานเนื่องจากเป็นคดีใหญ่ ทั้งตำรวจหลายหน่วย อัยการ ป.ป.ส. ร่วมตั้งแต่แรก
3. มีการปล่อยรถของกลาง และผู้ต้องหารายสำคัญคือหลานนายตู้ห่าวหายไป ทั้งที่อยู่ในที่เกิดเหตุเพราะรถตู้อัลพาร์ดยังอยู่ จึงขาดการเชื่อมโยง มีทั้งปล่อยผู้ต้องหากลางทาง คือนายหวัง เทียนฮุย และมีการปล่อยรถของ เดวิด ฮอลล์ รวมแล้วปล่อยรถของกลางไป 4 คัน โดยมีคนหิ้วเงินมาให้ มีหลักฐานแต่เรื่องเงียบ และหล่นหายไปตามกาลเวลา
4. มีผู้เกี่ยวข้องที่เป็นตำรวจในการปกปิด ช่วยเหลือ ทำให้คดีตกหล่น สาระสำคัญออกไปจากสำนวน ผู้ทำสำนวนเป็นหัวหน้าของตำรวจที่ปล่อยรถคืนให้กับผู้ต้องหา
5. เชิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดที่เป็นหลักฐานสำคัญหายไป มีการตัดต่อกล้องวงจรปิด เซิร์ฟเวอร์มี 4 ตัว ในผับจินหลิง อาคารวิบวับฯ 2 ตัว 40 กล้อง และอาคารลีลา เซิร์ฟเวอร์ 2 ตัว 68 กล้อง แต่ส่งกล้องให้พิสูจน์หลักฐานแค่ 1 เซิร์ฟเวอร์ โดยส่งให้พิสูจน์แค่วันที่ 21-26 ต.ค. 2565 เพื่อปิดบังบ่อนในอาคารลีลา และปิดบังไม่ให้เห็นตู้ห่าวกับหลาน
6.ออกหมายจับนายตู้ห่าวล่าช้า จับผับจินหลิงวันที่ 26 ต.ค. 2565 แต่ออกหมายจับนายตู้ห่าววันที่ 22 พ.ย. 2565
7. แจ้งข้อหาฟอกเงินล่าช้า นายตู้ห่าวโดนข้อหายาเสพติดร้ายแรง และข้อหายาเสพติดเป็นความผิดมูลฐานฟอกเงิน แต่ไม่ยอมตั้งข้อหาฟอกเงินแต่แรก เหมือนจงใจให้มีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน จนเจอเงินในบัญชีตู้ห่าวแค่ 1 แสน จนกระทั่งวันที่ 24 ธ.ค.2565 จึงแจ้งข้อหาฟอกเงินกับคนสนิทนายตู้ห่าว แต่ก็ยังไม่แจ้งฟอกเงินกับตู้ห่าว โดยมาแจ้งในภายหลัง
8. เจ้าของสำนวนทำผิดพลาด จน ผบ.ตร.และอัยการสูงสุด ต้องมาทำคดีเอง แต่หลักฐานต่าง ๆ ได้ถูกทำลายไปเป็นจำนวนมากแล้ว
คดีนี้จึงเป็นอุทาหรณ์ให้ทราบว่าเมื่อต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว ย่อมส่งผลไปถึงปลายน้ำ อิทธิพลของจีนเทายังมีอีกมาก และพร้อมจะขยายตัว หากกระบวนการยุติธรรมไม่แข็งแกร่งเพียงพอ แต่อย่างน้อยคำว่า “จีนเทา” ก็ได้ถูกพูดถึงมาจนทุกวันนี้ นายชูวิทย์ กล่าว