
เป็นคำเตือนสติที่ถ่ายทอดจากบทเรียนโดยตรงของ “นายรักเกียรติ สุขธนะ” อดีตรมว.สาธารณสุข และรัฐมนตรีในหลายสมัย มอบไว้ให้นักการเมือง และผู้มีอำนาจ สมัยบวชเป็นพระหลังออกจากเรือนจำ
สำหรับ “นายรักเกียรติ สุขธนะ” อดีตรมว.สาธารณสุข และรัฐมนตรีใน 5 สมัย เป็น ส.ส.อุดรธานี 7 สมัย ผู้ถูกตัดสินจำคุก 15 ปี ในความผิดฐานรับสินบน 5 ล้านบาทจากบริษัทยา จนโดนจำคุก 5 ปี
หลังได้รับการพระราชทานอภัยโทษ จึงเดินเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ได้ฉายาทางธรรมว่า “รักขิตะ ธัมโม” หลังจากพ้นโทษ ได้บวช และเข้าถึงหลักธรรม ได้เทศนาธรรมในงานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 5 ที่อิมแพค เมืองทองธานี ในหัวข้อ “ประเทศไทย หมดหนทางแก้ไขคอร์รัปชันแล้ว จริงหรือ ?”
พระรักขิตะ ธัมโม ได้กล่าวถึงช่วงที่ตนดำรงตำแหน่ง รมว. โดยยอมรับว่า ได้ใช้ชีวิตด้วยความประมาท และถูกครอบงำด้วยอบายมุข มีกิเลส หลงใหลในลาภยศ อำนาจ วาสนา
เมื่อมี “อำนาจ” บังตา จึงเกิดความอยาก ความต้องการ ทั้งอยากกิน อยากมี อยากได้ อยากเป็น แบบไม่รู้จบ ถือได้ว่า ทำทุกอย่าง ตามกิเลสที่ตนเองต้องการ
ขณะที่การเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง ด้วยวิธีการเลือกตั้งนั้น ทำให้เกิดการต่อสู้ แข่งขัน ชิงดีชิงเด่น ใช้เงินซื้อเสียง และโกงการเลือกตั้ง หนักขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อได้เข้าไปเป็นรัฐบาล บริหารประเทศ ก็ต้องหาทางทุจริต คอร์รัปชันเพื่อถอนทุนคืน

“การไปเลือกตั้ง ก็เหมือนกับการยกทัพไปรบ ที่ต้องมีการระดมทุน และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทุน โดยสมาชิกพรรค รับเงินไปหาเสียง เมื่อได้รับชัยชนะ คือ การได้บริหารปกครองประเทศ ใครแพ้ก็ไปเป็นฝ่ายค้าน”
ตนได้ผ่านการใช้ชีวิตมาถึง 3 แบบ คือ นักปกครอง นักโทษ และ นักบวช
ได้พบว่า “วงจรอุบาทว์ ของนักการเมืองไทย” คือ การเข้ามาเป็นรัฐบาลโดยการเลือกตั้ง แล้วเข้ามาถอนทุนคืน 3 ทางด้วยกัน คือ
1.ถอนทุนคืนตัวเอง
2.ถอนทุนคืนให้นายทุน ที่สนับสนุนให้เข้ามาเป็นรัฐบาล
3.ถอนทุนคืน เพื่อทำทุนในสมัยหน้า เพื่อการสืบทอด รักษาอำนาจไว้ให้ต่อเนื่อง ดังนั้น การเมืองไทย จะอยู่ควบคู่กับการทุจริตคอรัปชัน
เมื่อมีการทุจริตคอร์รัปชันมากๆ ก็เกิดการปฏิวัติ รัฐประหาร ที่ฝ่ายทหาร มีเหตุผลการปฏิวัติรัฐประหาร ว่า เพราะนักการเมืองทุจริต รัฐบาลคอร์รัปชัน
แต่มักจับผู้ที่ทำผิด หรือ ทุจริตคอร์รัปชันได้ยาก เพราะส่วนใหญ่นักการเมือง มักจะวางแผนหลบเลี่ยงหลีกหนีไว้ล่วงหน้า

พระรักขิตะ ธัมโม กล่าวถึง สมัยที่ตนเป็นรัฐบาลชุดที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า ในยุคนั้น ก็มีส.ส. ที่เปลี่ยนขั้ว มายกมือให้รัฐบาล โดยการซื้อ ส.ส. มาสนับสนุน ดังนั้น เมื่อเข้ามาบริหารประเทศ ก็ต้องทำตามกลุ่ม ส.ส. ที่มาสนับสนุนต้องการ จึงเป็น 2 ปี ที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน เพื่อตอบแทนกลุ่มทุน ที่ให้เงินมาซื้อ ส.ส.
การทุจริตคอร์รัปชัน จึงอยู่คู่กับสังคมการเมืองไทย ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน และ อาจกล่าวได้ว่า เราพัฒนาประเทศไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีการพัฒนานักการเมืองไปพร้อมๆ กัน
การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นปัญหาที่ใหญ่และสำคัญที่แก้ไขได้ยาก จึงควรแก้ปัญหาโดย “การปฏิรูปประเทศไทย หรือ สังคายนาประเทศไทย”
เพราะการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ของนักการเมือง หรือ ข้าราชการประจำ ล้วนเป็นสาเหตุ ของการทุจริตคอร์รัปชัน มีการใช้เงินซื้อ เพื่อเข้าสู่ตำแหน่ง และถอนทุนคืน เป็นปกติ วงจรของนักการเมือง และข้าราชการเช่นนี้ เป็นวงจรที่เรียกว่า “งูกินหาง” โครงสร้างการทุจริตคอร์รัปชันมี องค์ประกอบ 3 ฝ่าย พ่อค้า ที่เป็นฝ่ายเสนอ นักการเมือง ที่เป็นฝ่ายสนอง และข้าราชการ ที่เป็นฝ่าย ดำเนินการ
ทั้งนี้ พระรักเกียรติ ได้ลาสิกขา เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 56 รวมเวลาทั้งสิ้น 3 พรรษา 2 เดือน โดยยึดอาชีพทนายความ หาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว และไม่คิดจะเล่นการเมืองอีก เพราะขณะอยู่ในเรือนจำ รู้สึกสำนึกความผิดกับสิ่งที่ได้ก่อไว้ และได้ทบทวนสิ่งที่ทำผิดพลาด ยอมรับว่าใช้ชีวิตอย่างประมาท และจะไม่ขอย้อนกลับไปเดินทางเก่า รู้สึกดีใจที่รับโทษ ไม่เช่นนั้นวันนี้ก็ไม่รู้จะต้องหนีไปถึงไหน หรืออาจจะไม่มีแผ่นดินอยู่ และเมื่อได้รับอิสรภาพจะตั้งใจทำมาหากินอย่างสุจริต
จากนั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็น “นายสันติ สุขธนะ” ย้ายภูมิลำเนาจากจ.อุดรธานี ไปอยู่พื้นที่หมู่ที่ 1 ต.ศรีดอนมูล อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ใช้ชีวิตกับภรรยา โดยเสียชีวิตในวันที่ 10 มิ.ย.62 ด้วยอายุ 65 ปี
ขอส่งต่อคำเตือนของ “นายรักเกียรติ สุขธนะ” ให้กับทุกคนเพื่อเตือนสติ และขอให้ผลบุญของคำเตือนเหล่านี้เป็นกุศลถึง นายรักเกียรติ สุขธนะ ด้วยเถิด
ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักข่าวอิศรา
ขอบคุณภาพจาก https://www.youtube.com/watch?v=oQ7dKs7RYy8