“เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” ตำนานแห่งศรัทธาและคำมั่นสัญญา

เปิดตำนาน เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จากหญิงผู้ถือมั่นในคำสัตย์ สู่เจ้าแม่ศักดิ์สิทธิ์แห่งปัตตานี

ในมุมหนึ่งของจังหวัดปัตตานี ท่ามกลางเสียงกลองของขบวนแห่และกลิ่นธูปคละคลุ้งในอากาศ ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวตั้งตระหง่านเป็นศูนย์รวมศรัทธาของผู้คนหลากเชื้อชาติ ทั้งไทย จีน และมุสลิม ผู้แสวงหาความเมตตาและปาฏิหาริย์จากเจ้าแม่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ตำนานของนางคือเรื่องราวของหญิงกล้าผู้ถือมั่นในคำสัตย์ปฏิญาณ แม้ต้องแลกด้วยชีวิต!

หญิงกล้าผู้เดินทางข้ามทะเล

ลิ้มกอเหนี่ยว หรือ “กอเหนี่ยวแซ่ลิ้ม” เป็นหญิงชาวจีนผู้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลในสมัยราชวงศ์เหม็ง ประมาณสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชครองกรุงศรีอยุธยา หรือ รายอฮีเยาครองปัตตานี เพื่อตามหาพี่ชาย “ลิ้มเตาเคียน” ซึ่งออกเดินทางค้าขายที่ปัตตานีและขาดการติดต่อไปหลายปี ด้วยความรักและความกตัญญู นางได้นำสำเภาถึง 9 ลำ ล่องลอยข้ามคลื่นลมมุ่งสู่ดินแดนที่ไม่คุ้นเคย พร้อมตั้งสัตย์ปฏิญาณว่า หากไม่สามารถนำพี่ชายกลับบ้านได้ นางจะยอมสละชีวิตเป็นเดิมพัน

เมื่อเดินทางถึงปัตตานี “ลิ้มกอเหนี่ยว” ได้พบว่าพี่ชายของตนมิใช่พ่อค้าอีกต่อไป แต่เป็นช่างผู้สร้างมัสยิด ณ บ้านกรือเซะ และได้เปลี่ยนศาสนาจนมีครอบครัวใหม่ นางพยายามอ้อนวอนให้เขากลับคืนบ้านเกิด แต่ลิ้มเตาเคียนปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ลิ้มกอเหนี่ยว จึงเลือกที่จะปลิดชีพตนเองใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์ข้างมัสยิด ปิดฉากเรื่องราวของหญิงผู้กล้าหาญที่ซื่อตรงต่อคำสัตย์จนวาระสุดท้าย

คำสาปที่ก้องกังวานในประวัติศาสตร์

หลังการจากไปของลิ้มกอเหนี่ยว มีเรื่องเล่าว่ามัสยิดกรือเซะที่ลิ้มเตาเคียนพยายามสร้างกลับไม่อาจสำเร็จได้ ทุกครั้งที่สร้างหลังคาขึ้น ฟ้ากลับผ่าลงมาทำลายมันลงเสมอถึงสามครั้งสามครา จนสุดท้ายมัสยิดแห่งนี้ต้องถูกทิ้งให้เป็นอนุสรณ์แห่งคำสาป ขณะเดียวกัน ลิ้มเตาเคียนเองก็มิอาจหลีกหนีโชคชะตา เมื่อเขาเสียชีวิตจากการทดลองยิงปืนใหญ่ที่สร้างขึ้นเพื่อถวายเจ้าผู้ครองปัตตานี ปืนใหญ่กระบอกนั้นจึงถูกขนานนามว่า “นางพญาตานี” อันทรงพลัง

ต่อมาในรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ปืนใหญ่นางพญาตานีถูกอัญเชิญไปไว้หน้ากระทรวงกลาโหม ณ กรุงเทพฯ ขณะที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ที่ลิ้มกอเหนี่ยวใช้เป็นสถานที่ปลิดชีพ ถูกนำมาแกะสลักเป็นรูปของเจ้าแม่ และกลายเป็นองค์ประดิษฐานในศาลเจ้าลิ้มกอเหนี่ยว จนกลายเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของผู้คน

จากสำเภาสู่ตำนาน “รูสะมิแล”

สำเภาทั้ง 9 ลำ ที่พาลิ้มกอเหนี่ยวและบริวารเดินทางสู่ปัตตานี เล่าขานกันว่าต่อมาได้กลายเป็นต้นสนเก้าต้น ซึ่งในภาษามลายูเรียกว่า “รูสะมิแล” (รู = ต้นสน, สะมิแล = 9) และยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งตำนานที่แฝงอยู่ในผืนแผ่นดินปัตตานีจนถึงทุกวันนี้

ศรัทธาที่ข้ามพรมแดน

แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานนับศตวรรษ แต่ศรัทธาต่อเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวยังคงแข็งแกร่ง ผู้คนจากปัตตานี จังหวัดใกล้เคียง และแม้กระทั่งในมาเลเซียและสิงคโปร์ ต่างเดินทางมายังศาลเจ้าเพื่อกราบไหว้ บนบานศาลกล่าว ขอพรให้สมหวัง โดยเฉพาะในเรื่องสุขภาพ การค้าขาย และการตามหาของหาย ซึ่งขึ้นชื่อว่าได้ผลเป็นอย่างยิ่ง

พิธีกรรมแห่งความเคารพ

ทุกปีในวันเพ็ญเดือนสาม ปัตตานีจะเต็มไปด้วยสีสันของงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ขบวนแห่รูปสลักเจ้าแม่เคลื่อนผ่านถนนพร้อมด้วยขบวนแห่ธง ป้าย และกระเช้าดอกไม้ เสียงกลองและม้าล้อประโคมให้บรรยากาศคึกคัก ขณะที่กลางคืนมีการแสดงงิ้วและโนรา ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงที่เชื่อกันว่าเจ้าแม่โปรดปราน

ศรัทธาที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย

เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมิใช่เพียงตำนานของหญิงผู้กล้าหาญ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาและความกล้าหาญของผู้คนที่พร้อมจะยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ตนเชื่อมั่น แม้กาลเวลาจะหมุนเวียนไป แต่ชื่อของลิ้มกอเหนี่ยวยังคงดังก้องในหัวใจของผู้ศรัทธา และศาลเจ้าของนางยังคงเป็นศูนย์รวมแห่งความหวัง ความเมตตา และปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยจางหายไปจากแผ่นดินปัตตานี

อ้างอิงข้อมูล : กรมส่งเสริมวัฒนธรรม