
วันนี้ (21 มี.ค.68) นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองทิศทางเศรษฐกิจไทย 2568 เสี่ยงหลายปัจจัยลบ ทำภาคการผลิตหดตัวติดต่อกันเป็นปีที่ 3 คาดแรงส่งจากการท่องเที่ยวช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้แบบจำกัด ขณะที่ ยังคงประมาณการจีดีพีปี 2568 เติบโตที่ 2.4%
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความเสี่ยงสงครามการค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบมากกว่าที่ประเมิน อาจทำให้การขยายตัวของจีดีพี 2568 มีโอกาสเติบโตต่ำกว่าคาดได้
ทั้งนี้ จากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) และการเปลี่ยนแปลงด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกคงต้องเตรียมเผชิญกับความไม่แน่นอนและเตรียมรับมือกับผลกระทบด้านการจัดระเบียบการเงินครั้งใหม่ในอีกไม่นาน

นายรุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า จับตาวันที่ 2 เม.ย.68 โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเริ่มใช้มาตรการภาษีอุตสาหกรรมรถยนต์เพิ่มขึ้น 25% เรียกเก็บจากประเทศที่ส่งสินค้าเข้าสหรัฐฯ
สำหรับประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ สูงสุด 5 ประเทศ เม็กซิโก ญี่ปุ่น เกาหลี แคนาดา และเยอรมนี ขณะที่ไทย ส่งออกรถยนต์ไปที่สหรัฐฯ อันดับ 16 สัดส่วนอยู่ที่ 0.2%
ทั้งนี้ ประเมินผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจไทย หากไทยโดนภาษีนำเข้า Reciprocal Tariff เพิ่มขึ้นอีก 10% คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อจีดีพีที่ -0.3% ซึ่งผลกระทบดังกล่าวได้รวมไว้ในการประมาณการจีดีพีปี 2568 ที่ 2.4% แล้ว
อย่างไรก็ตาม หากไทยโดนภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 25% คาดว่าจะส่งผลต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นเป็น -0.6% และประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่ปัจจุบันมองไว้ที่ 2.4% มีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลงแต่จะยังอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 2.0%

นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลกระทบจากการขึ้นภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ยังฉุดการผลิตอุตสาหกรรมไทยให้เสี่ยงหดตัวราว 1.0% ในปี 2568 ขณะที่ไทยหวังพึ่งแรงส่งจากการท่องเที่ยวได้ไม่มากเท่าปีก่อน
โดยผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า จะได้รับผลกระทบทางตรงจากการขึ้นภาษีและคำสั่งซื้อที่ลดลงของสหรัฐฯ เนื่องจากพึ่งพาสหรัฐฯ ในฐานะตลาดส่งออกสำคัญ ท่ามกลางเศรษฐกิจหลักในโลกที่ชะลอลง สิ่งที่ตามมาคือ แรงงานในภาคการผลิตที่ทักษะต่ำจะมีความเสี่ยงด้านรายได้
เนื่องจากโรงงานปิดตัวนิ่งขึ้นหลังปิดไปมากแล้ว สะสมปี 2564 ถึงปัจจุบัน หรือรวม 4 ปี ปิดตัวแล้วเกือบ 5,000 แห่ง ส่งผลให้แรงงานภาคการผลิตที่ชั่วโมงมำงานน้อย (น้อยกว่า 40 ชั่วโมง/สัปดาห์) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 11%

ขณะที่ช่วง 2 เดือนแรกปี 2568 โรงงานทุกประเภทปิดตัว 89 โรงงาน ขนาดธุรกิจเงินทุนที่ 31 ล้านบาท หากดูไส้ในโรงงานที่ปิดตัวมากขึ้นคือโรงงานคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้า จำนวน 6 แห่ง เงินทุน 36 ล้านบาท และโรงงานยานยนต์ อุปกรณ์ขนส่ง 3 แห่ง เงินทุน 100 ล้านบาท
โดยโรงงานอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์เริ่มมีสัญญาณการปิดตัวเพิ่มขึ้นและเป็นขนาดกลางถึงใหญ่ ซึ่งสถานการณ์คงจะท้าทายมากขึ้นอีกเมื่อสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในต้นเดือนเม.ย.นี้
นอกจากนี้ ไทยคงคาดหวังแรงส่งจากการท่องเที่ยวได้ไม่มากเท่าปีก่อน หลังจำนวนนักท่องเที่ยว 2 ชาติหลักอย่างจีนและมาเลเซียลดต่ำลง อีกทั้งการแข่งขันกันดึงนักท่องเที่ยวและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ทำให้การฟื้นตัวของตลาดต่างชาติเที่ยวไทยกลับไปสู่ระดับก่อนโควิดหรือมากกว่านั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย