อูน Diamond Grains “เฮอร์ไมโอน้อง” จากนักธุรกิจสาว สู่ดาว TikTok

อีจันอยากเจอ อูน Diamond Grains หรือ อูน ชนิสรา เมื่อกลายเป็น “อูนเฮอร์ไมโอน้อง” นักธุรกิจสาวก้าวสู่การเป็นบุคคลสาธารณะ ดาว TikTok

อีจันอยากเจอวันนี้พบกับ อูน เจ้าของเพลงไวรัล “ เฮอร์ไมโอน้อง ” จะเป็นยังไงเมื่ออูน Diamond Grains กลายเป็น “อูนเฮอร์ไมโอน้อง” จากนักธุรกิจสาว ก้าวสู่การเป็นบุคคลสาธารณะ!!

อาชีพของอูน คือนักธุรกิจ แล้วการร้องล่ะคะเริ่มมาได้ยังไง ?

คุณอูน บอกว่า อูนมีงานๆเดียว คือการทำธุรกิจ นักร้องเนี่ยอูนไม่ได้ใช้เงินจากมัน เพราะฉะนั้นอูนไม่ได้นับว่านั่นเป็นงาน อูนทำงานมาตลอดแล้วก็ฝึกตัวเองให้ทำงานอย่างเต็มเวลามาตลอด เพราะแต่ก่อนเรามีกันแค่2คนในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นช่วงไหนของการทำบริษัทก็คือต้องใช้เวลาทั้งหมดของเราในการทำ พอมีคนมาช่วยมากขึ้น เวลาตรงส่วนนั้นเลยลดทอนลงไปเรื่อยๆ เราอาจจะเพิ่มเติมด้วยแบรนด์ต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามา แต่พอเริ่มมีติ๊กต็อก พอเริ่มมาทำเพลง ก็เลยมีอันนี้เป็นงานอดิเรก พอเริ่มเรียนรู้ว่าเราไม่สามารถอยู่ได้ด้วยการทำงานหาเงินเพียงอย่างเดียวนะ การมีงานอดิเรกเพิ่มเข้ามามันเลยกลายเป็นส่วนที่ทำให้เราได้พักผ่อน ถึงแม้จะดูเหมือนว่ากำลังทำงาน แต่สำหรับเรามันคือการที่เราได้ปลดปล่อยและผ่อนคลาย

ที่บอกว่าเปิดติ๊กต็อก เป็นเพราะอยากเต้น ไม่ได้เกี่ยวกับธุรกิจ ?

คุณอูน บอกว่า จริงๆ อยากเต้นเฉยๆ อย่างที่บอกว่าเปิดติ๊กต็อกเพราะเป็นงานอดิเรก หลายคนเข้าใจว่าเปิดติ๊กต็อกเพราะอยากเชื่อมโยงธุรกิจ ตอนแรกมันไม่เกี่ยวเลยเราไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าเราเป็นใคร แต่ด้วยความที่บัญชีผู้ใช้มันเชื่อมกับอีเมลสักอย่าง แล้วชื่อมันเป็นไดมอนด์เกรนส์ ก็เลยมีคนงงว่าทำถึงใช้ชื่อไดมอนด์เกรนส์ในการทำคอนเทนต์ช่วงแรก เพราะตอนนี้เราเพิ่งมาสร้างบัญชีใหม่แยก

คนดูติ๊กต็อกเพราะเขาหาความสนุกหาชีวิตให้ตัวเอง การที่มีคนมาเลือกดูเราพี่อูนรู้สึกยังไงบ้าง??

คุณอูน บอกว่า อูนดีใจค่ะ เพราะว่าอูนไม่ค่อยได้สิ่งนั้นตอนเด็กๆ อูนรู้สึกว่า มันน่าจะมีเด็กๆอีกหลายคนนะที่เกิดมาเจอเรื่องราวเดียวกันกับอูนตอนเด็ก แต่อูนคงลงรายละเอียดมากไม่ได้ แต่อูนว่าสิ่งที่อูนแสดงออกไปหลายๆอย่างมันเกิดจากการที่เราเป็นเด็กแล้วเรารู้สึกว่าอยากให้ใครมาพูดอะไรให้เรา เราอยากได้ยินอะไรในสังคม เราอยากให้ตัวตนเรามันถูกดำเนินไปอย่างราบรื่น เราเลยรู้สึกว่าถ้าเราสามารถทิ้งสิ่งนี้ไว้ให้ใครสักคนหนึ่ง เด็กสักคนหนึ่ง มองเข้ามาแล้วอยากจะมีความสุขมากขึ้น ดำเนินชีวิตแบบมีสติมากขึ้น หรือว่าจากที่เคยรู้สึกว่าไม่ชอบคนนี้เพราะอย่างนี้ สามารถปล่อยวางได้มากขึ้น เกลียดกันน้อยลง เราก็ดีใจค่ะ

ไม่อยากพูดถึงความลำบากของตัวเองแล้ว เพราะมีคนอื่นลำบากกว่า?

คุณอูน บอกว่า สาเหตุที่อูนไม่อยากโฟกัสเรื่องความลำบากแล้วเพราะ ตอนนี้เพิ่งจะมาเข้าใจจากการที่เราได้ไปออกสื่อมาเยอะๆ เห็นภาพที่ออกมา รวมถึงสิ่งที่ตัวเองทำทิ้งไว้ เราเกิดความรู้สึกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คนมองเข้ามาผ่านสื่อแล้วขยี้เรื่องความลำบากของเรา เขาจะรู้สึกว่าชีวิตที่ลำบากของเขาจะมีความหวังในการใช้ชีวิตที่ดีได้ในอนาคต ซึ่งจริงๆมันดีมากในแง่ของแรงบันดาลใจ ความพยายาม อูนจะรู้สึกดีมากนะเวลาคนมองเราแล้วรู้สึกอยากจะพยายามต่อ อยากจะสู้ต่อ แต่สิ่งหนึ่งที่อูนรู้สึกว่ามันอาจจะไม่เหมาะสมอีกต่อไปแล้วคือ ความลำบากที่เกิดขึ้นในชีวิตเขาบางทีมันไม่ได้เกิดจากการที่เขาพยายามไม่มากพอ เขาลำบากเพราะสังคมไม่ได้ถูกเกลี่ยให้ทุกคนได้ในสิ่งที่ควรจะได้เท่าๆกัน อูนทำได้มากสุดคือแค่ส่งต่อความพยายาม หรือให้กำลังใจ ฮึ้บๆ สู้ๆ เจอปัญหาอะไร ก็จัดการตัวเองให้ได้แก้ไขปัญหาต่อไป แต่ถ้าเขาบอกว่า แล้วจะทำยังไงถ้าไม่มีเงินทุน อูนก็คงพูดได้แค่อย่างน้อยๆการศึกษามันทำให้เรามีความรู้และประกอบอาชีพได้ แต่ “ ปัจจุบันการศึกษามันยังไปไม่ถึงเลย แล้วจะให้อูนไปพูดแทนใครได้ ”

การร้องเพลงเป็นอีกหนึ่งความสุขของพี่อูนไหม?

คุณอูน บอกว่า ใช่! จริงๆเป็นคนชอบร้องเพลงมากมากตั้งแต่เด็ก การร้องเพลงมันไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสุข มันเป็นความกังวลและความกลัวเบาๆของเราด้วย ตอนเด็กเราชอบเต้น ชอบร้องเพลง เรากล้าแสดงออก แต่พอโตมาเรารู้สึกว่าไม่กล้าที่จะทำต่อหน้าคนเยอะๆแล้ว

เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?

คุณอูน บอกต่ออีกว่า อูนเคยประกวดร้องเพลงตอนเด็ก แล้วอยู่ๆก็ลืมเนื้อเพลงหมดเลยพอลงมาจากเวทีก็ร้องห่มร้องไห้ ทำให้มีความรู้สึกทุกครั้งที่จะขึ้นเวที มือจะสั่น ใจสั่นมากๆ มีความรู้สึกวิตกกังวลหน่อยๆ จนเราได้มาลองทำเฮอร์ไมโอน้อง ตอนที่เราทำแรกๆเราไม่เคยคิดว่าจะไปร้องสดที่ไหนเลยนะ เราแค่อยากทำเพลงน่ารักๆให้คนได้ฟังกันเฉยๆ แล้ววันหนึ่งอูนมีโอกาสได้เจอพี่ๆศิลปินที่เขาเก่งๆ เขาทำสิ่งนี้เป็นอาชีพมานานแล้วเขาให้กำลังใจเรา เราไม่ได้รู้สึกว่าเราร้องเพลงเพราะหรือเราเก่งนะ แต่เราแค่รู้สึกว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องกดดันตัวเองขนาดนั้นเลย “บางทีเพลงมันก็มีหน้าที่ แค่สร้างความสุข”

เวทีแรกในชีวิตรู้สึกยังไงบ้าง?

คุณอูน บอกว่า อูนตื่นเต้นมากๆ ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าอินเอียร์คืออะไรจนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีอินเอียร์เลย มันคือหูฟังที่ใส่แล้วได้ยินเสีงตัวเองค่ะ ตอนนั้นจำได้ว่าหูดับแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงตัวเองเลย ปกติเราร้องใส่ไมค์คนดูจะได้ยินเสียงจากลำโพงแต่เราจะไม่ค่อยได้ยินเสียงตัวเองใช่ไหม แล้วก็เป็นความกังวลมากๆไม่อยากให้งานเขาพัง แต่สุดท้ายอูนว่ามันมีผิดพลาดบ้างนะเวลาที่ออกไปทำงาน ออกไปอีเว้นท์ แต่ว่าเราแค่ต้องรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเองตรงนั้นให้ได้ เป็นความรู้ใหม่เป็นทักษะใหม่ที่กำลังฝึกฝนอยู่ เรารู้แหละว่าจบจากงานทุกงานถ้าเราผิดพลาดหรือไม่ผิดพลาด มันจะมีคนที่รู้สึกบางอย่างใหม่ๆกับเรา หรือว่าพลังงานบางอย่างที่เราทิ้งเอาไว้ ก็จะมีความทั้งผิดพลาดและถูกต้องบางอย่างเกิดขึ้น แต่เรากลับบ้านมาเราจะตัดสินมันเหมือนเวลาเราธุรกิจไม่ได้ เพราะธุรกิจต้องแก้ปัญหาตลอดเวลา ในขณะที่เราออกไปอีเว้นท์มันก็แค่ผ่านไป ไม่ใช่ว่าเราไปร้องเพี้ยนกลับบ้านมาแล้วแบบทำไมถึงร้องเพลงเพี้ยน กดดันตัวเอง “บางอย่างมันต้องก้าวไปข้างหน้าให้เป็น”

เมื่อนักธุรกิจ ก้าวขาสู่การเป็นบุคคลสาธารณะ ชาวโซเชียลเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ เรารู้สึกยังไง?

คุณอูน บอกว่า หนึ่งเลย เราตกใจ งง เพราะตอนเราทำธุรกิจเราไม่เคยเจอสไตล์นี่เท่าไหร่ สอง เริ่มรู้สึกโกรธตัวเองอันนี้เป็นสิ่งที่เราค้นพบทีหลัง เวลาใครเจอคอมเมนต์อะไรในใจเขาก็จะด่ากลับใช่ไหม แต่ของอูน อูนรู้สึกว่ามันมีบางอันแหละที่ทำให้เราโกรธ แต่ว่าส่วนมากเลยที่ทำให้เรารู้สึก คือเรารู้สึกไม่พอใจในตัวเอง เราอ่านแล้วเรารู้สึกว่าเราทำอะไรพลาดไป แล้วพอไม่พอใจตัวเองมากๆมันก็กลายเป็นความเศร้า เราก็เลยคิดว่าไปพบแพทย์ดีที่สุด ตอนนี้สิ่งที่เราได้เรียนรู้และเข้าใจมันคือ “สังคมถกเถียงกันเป็นเรื่องปกติ” แล้วเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป

พูดถึงคู่ชีวิตเราหน่อย

คุณอูน บอกว่า พี่แพ็คเป็นคนที่สามารถเรียกสติอูนได้ดีที่สุด ในวันที่เราท้อหรือเหนื่อย เขาเป็นคนไม่ค่อยมานั่งโอ๋เอ๋ๆอะไรขนาดนั้น มีบ้างถ้าร้องไห้ก็ยื่นกระดาษทิชชู แต่ไม่ใช่มนุษย์ที่สมมติเห็นเราร้องไห้แล้ววิ่งเข้ามากอด เขาไม่ใช่แบบนั้น แต่คำว่าชาร์จแบตที่อูนหมายถึงคือ เขาจะเดินมานั่ง แล้วพูดกับเราว่า หม่มี๊ฟังป่าปี๊นะ “ โลกใบนี้มันไม่มีอะไรบังเอิญทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันก็คือสิ่งที่เราทำเอาไว้ ” คือเขามาแนวนี้เลย แล้วเราต้องการอะไรแบบนี้

เห็นงานยุ่งแบบนี้ ก็มีเวลาให้ของสะสมที่ชอบ ของสะสมที่ชอบคือะไร?

คุณอูน บอกว่า ส่วนมากจะเป็นดิสนีย์กับแฮร์รี่ค่ะ ถ้าเกิดเป็นของดิสนีย์เจอแล้วรู้สึกว่าชิ้นนี้น่ารักก็ซื้อเลย เพราะเราชอบมากๆ และส่วนแก๊งแฮร์รี่ก็ซื้อเก็บเหมือนกัน เราไม่ได้ชอบของจากแววตาที่มองไปหรือที่จับต้องได้เฉยๆ แต่ว่าจะชอบจากเรื่องราวของสิ่งนั้น เช่น ดิสนีย์ชิ้นนี้ทำไมถึงผลิตออกมา “ เราเป็นคนชอบเรื่องราวข้างหลังสินค้า มากกว่าสินค้าในชั้นวางค่ะ ”

ทำไมถึงไม่ชอบแต่งตัว?

คุณอูน บอกว่า มันสบายกว่านะ อย่างแรกเลยคืออูนแต่งตัวตามธีมซะส่วนใหญ่เวลาไปงาน แต่อย่างชีวิตประจำวัน อย่างวันนี้อีจันมาบอกว่าอยากให้พี่อูนแต่งตัวปกติเลย ก็จะใส่อย่างนี้เลยเสื้อยืดธรรมดา หนึ่งเลยเป็นเพราะว่าอูนไม่เชื่อว่าความสุขของอูนเองจะเกิดได้จากการที่ข้างนอกอูนสวย มันไม่ใช่เพราะข้างในเราสวยนะแต่ว่าเคยพยายามแต่งตัวแล้วแล้วมันเหนื่อย สำหรับเราแฟชั่นเป็นเรื่องเข้าใจยาก ก็เลยเอาที่ตัวเองสบายดีกว่า

“ เรียนรู้จากความผิดพลาดทุกๆนาทีที่ใช้ชีวิต ” เราพยายามแก้ไขตัวเองมากๆ จนมันออกไปในท่าที่เรารู้สึกว่าตัวเองเริ่มอึดอัดกับมุมมองบางอย่าง ก็เลยรู้สึกว่าเอางี้ไหมเราลองตั้งท่าใหม่ เราออกมาทำไม่ได้แบบในท่าที่ไม่ได้โหยหาความรักจากใคร แต่ทำในท่าที่คิดว่าเราก็แค่คนๆหนึ่งที่พลาดได้ ทำถูกได้ ผิดได้ ไม่กดดันตัวเอง เรียนรู้จากความผิดพลาดในทุกๆนาทีที่ใช้ชีวิต

การที่อูนมาคุยกับอีจันวันนี้ ทำให้อูนรู้ว่าอูนค่อยๆโอเคกับมันมากขึ้นนะ ก่อนหน้านี้เวลามีใครถามคำถามแนวนี้อูนจะร้องไห้ออกมา รู้สึกว่าเราไม่มันใจเรายังไม่ดีขนาดนั้น แต่ว่าพอมาวันนี้เราโอเคกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ โอเคเราอาจจะไม่ดูดีในสายตาคนนี้ ก็ไม่เป็นไรนะ เราอาจจะดูดีในสายตาบางคนก็ได้ เราพยายามเอาตัวเองไปอยู่ในจุดที่มีความสุขดีกว่า เราคิดแบบนี้ค่ะ

อีจันอยากเจอวันนี้ นอกจากเราจะได้รู้จักคุณอูนมากขึ้นแล้วการที่ได้คุยกับคุณอูนในวันนี้ทำให้เราได้ข้อคิดดีๆกลับมามากมายเลยค่ะ อีจันก็ขอเป็นอีกหนึ่งพลังส่งมอบพลังบวกนี้ต่อไปให้กับทุกคนเลยนะคะ