
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคจำนวนมากตั้งคำถามว่า ทำไมราคาเนื้อหมู ไข่ไก่ และวัตถุดิบทางการเกษตรจึงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนบางครั้งกระทบต่อค่าครองชีพในครัวเรือนอย่างเห็นได้ชัด และหนึ่งในข้อสงสัยที่เกิดขึ้นบ่อยคือ “เพราะเกษตรกรขายแพงใช่หรือไม่?” แต่หากพิจารณาในเชิงลึกแล้ว เราอาจพบว่าเรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่คิด และ “ต้นทาง” อาจไม่ใช่ “ต้นเหตุ” เสมอไป
1. ต้นทุนการผลิตที่เกษตรกรต้องแบกรับ
ก่อนที่เราจะกล่าวโทษเกษตรกร ควรเข้าใจก่อนว่าเกษตรกรจำนวนมากต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น:
- ค่าพลังงาน: น้ำมัน ค่าไฟฟ้า และการขนส่งปรับตัวสูงขึ้น ทำให้การเลี้ยงสัตว์หรือเพาะปลูกมีต้นทุนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- อาหารสัตว์: ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพดและกากถั่วเหลือง สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน สงคราม หรือการขาดแคลนในตลาดโลก
- ค่าจ้างแรงงาน: ค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับขึ้น และปัญหาแรงงานในภาคเกษตรก็ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นเช่นกัน

2. ระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่ซับซ้อน
วัตถุดิบจากเกษตรกรไม่ได้ส่งตรงถึงผู้บริโภคเสมอไป แต่ผ่านคนกลางหลายขั้นตอน เช่น:
- พ่อค้าคนกลาง
- โรงงานแปรรูป
- ระบบขนส่ง
- ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านค้าปลีก
ในแต่ละขั้นตอนมีต้นทุนและ “กำไร” ที่แฝงอยู่ ทำให้ราคาสุดท้ายที่ผู้บริโภคจ่ายนั้นสูงขึ้นมากกว่าราคาที่เกษตรกรขายจริง ๆ หลายเท่าตัว

3. กลไกราคาและภาวะตลาดโลก
สินค้าการเกษตรจำนวนมากได้รับผลกระทบจากปัจจัยระดับโลก เช่น:
- ภาวะสงคราม หรือการเมืองในต่างประเทศ
- ภัยพิบัติธรรมชาติ
- โรคระบาดในสัตว์ เช่น โรค ASF ในหมู ซึ่งทำให้เกิดภาวะขาดแคลนและราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลัน
ซึ่งสิ่งเหล่านี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเกษตรกรไทยโดยสิ้นเชิง
4. รายได้ที่สวนทางกับต้นทุน
แม้ราคาขายสุดท้ายจะสูงขึ้น แต่เกษตรกรจำนวนไม่น้อยกลับไม่ได้รับรายได้เพิ่มตาม เพราะโดนกดราคาที่หน้าฟาร์ม ขาดอำนาจต่อรอง และไม่มีโอกาสเข้าถึงตลาดโดยตรง
บางครั้งเกษตรกรอาจขายหมูในราคาประมาณ 80-100 บาท/กิโลกรัม แต่ผู้บริโภคอาจต้องซื้อที่ราคากว่า 200 บาท/กิโลกรัม ซึ่งสะท้อนความไม่เป็นธรรมของระบบ

สรุป: ไม่ใช่เกษตรกรที่ทำให้ราคาแพง แต่เป็นระบบที่ต้องแก้
จากการวิเคราะห์ข้างต้น จะเห็นว่า การโทษเกษตรกรว่าเป็นต้นเหตุของราคาสินค้าแพงนั้น ไม่ยุติธรรม สิ่งที่ควรโฟกัสคือ:
- การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานให้โปร่งใสและเป็นธรรม
- การส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงตลาดโดยตรงมากขึ้น
- การควบคุมราคากลางอย่างสมเหตุสมผล
- และการสนับสนุนให้เกษตรกรลดต้นทุนด้วยเทคโนโลยี
หากทั้งรัฐ เอกชน และผู้บริโภคช่วยกันผลักดันการเปลี่ยนแปลง ระบบจะยั่งยืนมากขึ้น และทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกันอย่างแท้จริง