ถึงฤดูของมนุษย์เงินเดือน เช็กให้ชัวร์ เงินเดือนเท่านี้ เสียภาษีเท่าไหร่

เงินเดือนเท่านี้ เสียภาษีเท่าไหร่ ? มัดรวมเรื่องต้องรู้ ของคนเสียภาษี

ภาษี เรื่องใกล้ตัวของมนุษย์เงินเดือน ที่เปิดต้นปีมาแต่ละที ก็มีแต่เรื่องให้จ่ายโดยเฉพาะ ภาษี แต่หลายๆคนอาจจะกังวลและยังไม่รู้ว่า เงินเดือนที่ได้มาแต่ละเดือน หรือ รายได้ที่ได้มาแต่ละปีของเรา จะต้องเสียภาษีมั้ย ถ้าเสียจะต้องเสียเท่าไหร่ วันนี้อีจันจะมัดรวมทุกเรื่องภาษี ให้ทุกคนได้รู้กันค่ะ

ภาษีคืออะไร?

ภาษี คือ สิ่งที่ประชาชนมีหน้าที่ต้องนำส่งให้ภาครัฐตามที่กฎหมายกำหนด เป็นเงินที่รัฐจัดเก็บจากประชาชนและผู้ประกอบการ เพื่อเป็นรายได้นำมาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยเงินจากการที่รัฐจัดเก็บภาษีไปนั้น จะนำไปใช้จ่ายในด้านการพัฒนาประเทศและกิจการที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เช่น สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ถนน หรือไฟฟ้า

ใครที่เสียภาษีบ้าง

ภาษีเป็นการจัดเก็บเงินของทุกคนที่มีรายได้ เช่น ข้าราชการ พนักงาน พ่อค้าแม่ค้า บริษัท หรือห้างร้านต่างๆ โดยรายได้ทุกประเภทที่เราได้มา ไม่ว่าจะเป็น เงินเดือน ค่าจ้าง การขายสินค้าและบริการ การประกอบวิชาชีพอิสระ หรือรับเหมาก่อสร้าง ก็ล้วนแล้วเป็นเงินที่ต้องนำมาเสียภาษี

2 ประเภทภาษี ใครต้องจ่ายแบบไหน

ภาษีทางตรง : เป็นภาษีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ต้องจ่ายภาษีเอง หรือภาษีที่เรียกเก็บโดยตรงจากผู้มีเงินได้ ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล

ภาษีทางอ้อม : เป็นภาษีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ต้องจ่ายภาษีเอง แต่เรียกเก็บจากผู้บริโภคสินค้าหรือบริการต่างๆ โดยจะคิดรวมกับราคาสินค้าไว้แล้ว แบ่งเป็น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์

เงินเดือนเท่าไหร่ต้องเสียภาษี

เด็กจบใหม่หลายคนที่เพิ่งเริ่มทำงาน อาจจะยังไม่รู้ว่าเงินเดือนเท่าไหร่ต้องเสียภาษี ทำให้บางทีอาจละเลย ที่จะวางแผนการเงินสำหรับจัดการภาษี และบางคนเข้าใจผิดว่าเมื่อเงินเดือนไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษีแล้ว ก็ไม่ต้องยื่นแบบ ทั้งที่ความจริงแล้ว หากรายได้ต่อปีเกินกว่า 120,000 บาทขึ้นไป จำเป็นต้องยื่นแบบฯ และหากมีรายได้สุทธิต่อปี เกินกว่า 150,000 ขึ้นไป จะต้องเสียภาษีตามอัตราที่กำหนด โดยสามารถศึกษาได้จากตารางการเสียภาษีต่อไปนี้

เงินได้สุทธิ คือ รายได้ทั้งปี – ค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท – ค่าลดหย่อน

จากตารางเห็นได้ว่าเงินได้สุทธิเกินกว่า 150,000 บาทขึ้นไป จะอยู่ในเกณฑ์เสียภาษี และตามกฎหมายแล้วทุกคนสามารถใช้สิทธิ์หักค่าใช้จ่ายจากงานประจำ 100,000 บาท พร้อมหักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท และพนักงานเงินเดือนทุกคนล้วนจ่ายประกันสังคมเดือนละ 750 บาท อยู่แล้ว ทำให้ต้องหักค่าประกันสังคม 750X12 = 9,000 บาท

เงินเดือนขั้นต่ำที่อยู่ในเกณฑ์เริ่มเสียภาษี คือ

150,000 + 100,000 + 60,000 + 9,000 = 319,000/12 เดือน = 26,583 บาท

ส่วนในกรณีที่ไม่ได้รับเงินเดือนประจำ ทำงานเป็นพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ และมีเงินหมุนเวียนเข้าในบัญชีอยู่ตลอดเวลา บางรายมีเงินเข้าบัญชีต่อปีเกิน 2 ล้านบาท ทำให้สงสัยว่าในกรณีนี้ต้องเสียภาษีเท่าไหร่ คำตอบคือเสียภาษีในอัตราขั้นบันไดสูงสุด 25% เหมือนกับพนักงานประจำ และถ้ามีรายได้ต่อปีเกินกว่า 1.8 ล้านบาท ก็ต้องจดทะเบียนจ่ายภาษี VAT อีกด้วย

คำนวณภาษีง่ายๆด้วยตัวเอง

เมื่อทราบกันไปแล้วว่าเงินเดือนเท่าไหร่ถึงเสียภาษี และอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ใช้ในการคิดคำนวณภาษีในแต่ละช่วงเงินได้สุทธิเป็นเท่าไหร่ ยกตัวอย่างการคำนวณภาษีด้วยตัวเอง

นางสาว A เงินเดือน 30,000 บาท จ่ายประกันสังคมทุกเดือน เดือนละ 750 บาท ไม่มีภาระต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ ซึ่งเงินได้สุทธิของนางสาว A หาได้จากสูตรการคำนวณ

เงินได้สุทธิ = รายได้ทั้งปี – (ค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท + ค่าลดหย่อน)

ในกรณีของนางสาว  A รายได้ทั้งปีเท่ากับ 30,000*12 เดือน = 360,000 บาท ค่าใช้จ่ายส่วนตัวตามกฎหมาย 100,000 บาท

การจ่ายค่าประกันสังคม ถือเป็นค่าลดหย่อนตามกฎหมาย ซึ่งลดหย่อนได้สูงสุด 750*12 = 9,000 บาท นอกจากนี้นางสาว  A ยังสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนตัวเองอีก 60,000 บาท ซึ่งทุกคนใช้สิทธิ์ดังกล่าวได้ทั้งหมด

ดังนั้นเงินได้สุทธิของนางสาว A = 360,000 – (100,000 + 9,000 + 6,000) = 245,000 บาท

และเมื่อคำนวณเงินได้สุทธิออกมาแล้ว ก็ให้นำไปเทียบกับตารางการเสียภาษีเงินได้ เพื่อคำนวณภาษีจากสูตร เงินได้สุทธิแต่ละขั้น X อัตราภาษี ซึ่งพบว่านางสาว A มีเงินได้สุทธิอยู่ใน 2 ช่วง คือ ช่วง 0-150,000 บาท อัตราภาษี 0% และช่วง 150,000 – 300,000 อัตราภาษี 5%

เมื่อเทียบกับตารางแล้ว เท่ากับนางสาว A จะยังได้รับการยกเว้นการเสียภาษีอยู่ ได้รับการยกเว้นภาษีในส่วน 150,000 บาทแรก ทำให้เหลือเงินได้สุทธิอยู่ที่ 95,000 บาท โดยจะนำเงินได้สุทธิที่เหลืออยู่ไปคิดในช่วงเงินได้สุทธิ 150,000 – 300,000 บาท จึงสรุปได้ว่ากรณีนางสาว A จะเสียภาษีเท่ากับ 4,500 บาท

ลดหย่อนภาษี วิธีไหนได้บ้าง

  • สิทธิ์ลดหย่อนจากเงินบริจาครูปแบบต่างๆ
  • สิทธิ์ลดหย่อนส่วนตัว ครอบครัว และอุปการะบุคคลทุพพลภาพ
  • สิทธิ์ลดหย่อนจากการออม การลงทุน และซื้อผลิตภัณฑ์ประกัน
  • สิทธิ์ลดหย่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

เช็กสิทธิ์ลดหย่อนภาษี

ถ้ามีสิทธิ์ลดหย่อนอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติม เช่น สิทธิ์ลดหย่อนครอบครัวในกรณีที่ดูแลพ่อ-แม่ หรือสิทธิ์ลดหย่อนจากการนำเงินไปซื้อประกันชีวิตก็นำมาใช้ลดหย่อน เพื่อสิทธิของตนได้เช่นกัน