![](https://files.ejan.co/wp-content/uploads/2023/02/379818-45y8mst6ptr4-768x402.jpg)
เมื่อวันที่ 1 ก.พ.66 สำนักงานประกันสังคม เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณ เงินสมทบกองทุนประกันสังคม
![](https://files.ejan.co/wp-content/uploads/2023/12/S__11067407.jpg)
เพื่อปรับปรุงเพดานค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้ได้รับประโยชน์ทดแทนเพิ่มขึ้นและมีความเหมาะสม ผ่านเว็บไซต์ระบบกลางกฎหมาย law.go.th โดยจะปิดรับฟังความคิดเห็นวันที่ 28 ก.พ. 66
โดยสำนักงานประกันสังคม จะนำความคิดเห็นไปพิจารณาปรับปรุงร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ก่อนนำเสนอให้ ครม. พิจารณา
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว จะกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม โดยจะมีการปรับฐานค่าจ้างขั้นสูงจาก 15,000 บาท อย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นสูงสุด 23,000 บาท ตั้งแต่ปี 2573 เป็นต้นไปดังนี้
ข้อ 1 กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2567 เป็นต้นไป
ข้อ 2 ให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533
ข้อ 3 ค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคํานวณเงินสมทบผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แต่ละคน ให้กําาหนดขั้นต่ำและขั้นสูง ดังต่อไปนี้
(1) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569 จํานวนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และไม่เกิน 17,500 บาท
(2) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2570 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572 จํานวนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และไม่เกิน 20,000 บาท
(3) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2573 เป็นต้นไป จํานวนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และไม่เกิน 23,000 บาท
![](https://files.ejan.co/wp-content/uploads/2023/12/S__11067408.jpg)
เมื่อเปรียบเทียบกับการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมปัจจุบัน ตามกฏกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 พบว่า จํานวนเงินที่ใช้เป็นฐานในการคํานวณเงินสมทบที่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ขั้นสูงที่แต่ละคนต้องจ่ายจะเพิ่มขึ้น จากเดิมที่กำหนดไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท เพิ่มดังนี้
ปี 2567-2569 ไม่เกิน 17,500 บาท จะจ่ายเงินประกันสังคมสูงสุดที่ 875 บาท
ปี 2570-2572 ไม่เกิน 20,000 บาท จะจ่ายเงินประกันสังคมสูงสุดที่ 1,000 บาท
ปี 2573 เป็นต้นไป ไม่เกิน 23,000 บาท จะจ่ายเงินประกันสังคมสูงสุดที่ 1,150 บาท
โดยประโยชน์ที่ผู้ประกันตนจะได้รับ คือสิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมเพิ่มขึ้น เนื่องจากฐานที่ใช้ในการคำนวณเพื่อรับสิทธิประโยชน์ดังกล่าวจะคำนวณจากค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุนประกันสังคม ดังนี้
1. เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย
2. เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ
3. เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร
4. เงินสงเคราะห์กรณีตาย
5. เงินทดแทนการขาดรายได้ในกรณีว่างงาน
6. เงินบำนาญชราภาพ
สำหรับเงินบำเหน็จชราภาพจะได้รับเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติเนื่องจากมีการนำส่งเงินสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพเพิ่มขึ้นจากการปรับฐานที่ใช้ในการคำนวณเงินสมทบ
อย่างไรก็ตามลูกเพจมีความเห็นอย่างไรกันอย่าลืมไปแสดงความคิดเห็นกันได้นะคะที่ law.go.th