สู้ไม่ถอย! “พิชัย” ไม่เถียง “เศรษฐกิจแย่” มั่นใจจีดีพีถึงเป้า 3%

สู้ไม่ถอย! “พิชัย” ไม่เถียง “เศรษฐกิจแย่” แต่มั่นใจปี’68 ดันจีดีพีถึงเป้า 3% พร้อมฉีดยาใหม่ ลุยแผนซื้อหนี้รายย่อย กู้หนี้ใหม่ เล็งออก “สเตเบิลคอยน์” เสริมสภาพคล่อง รับ “ค่าไฟแพง” แต่ยังแก้ไม่ได้

วันนี้ (25 มี.ค.68) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงที่ประชุมสภาฯ วาระอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายหลัง น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายหัวข้อการบริหารงานด้านเศรษฐกิจล้มเหลว จนประชาชนเรียกหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ 

นายพิชัยกล่าวว่า เห็นด้วยกับคำกล่าวว่าเศรษฐกิจไทยไม่ดีมาอย่างยาวนาน โดยจีดีพีขยายตัว เฉลี่ย 1.9% มาเป็นเวลานาน ซึ่งมาจากพื้นฐานโครงสร้างการลงทุน การส่งออก ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ในปีเดียว อย่างไรก็ตาม หากมองปีที่ผ่านมา จีดีพีขยายตัวได้ 2.5% โตขึ้นมากว่า 30% และปีนี้รัฐบาลวางเป้าจะผลักดันให้โตได้ไม่ต่ำกว่า 3% จะเป็นการเติบโตขึ้นไปอีก 20%

การกระตุ้นเศรษฐกิจ ตนไม่อยากเรียกว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ต้องเติมเม็ดเงินเข้าไปในระบบ วันนี้หนี้ถึงระดับที่ทุกคนรับไม่ไหว การสเตเบิลคอยน์ต้องใช้ระวัง ทั้งนี้ตามกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลังไม่สามารถพิมพ์เงินใหม่เพื่อแข่งกับ ธปท. ได้

แต่ที่ต้องทำเพื่อให้มีสภาพคล่อง และเข้าถึงรายย่อยมากขึ้น โดยจะเป็นจีโทเคน ไม่ใช่เงินใหม่ ซึ่งใครมีสามารถเข้าไปแลกเปลี่ยนได้ หากเป็นแบบนี้ใครที่เงินฝาก 20,000 บาท สามารถซื้อธนบัตรรัฐบาลได้ ทั้งนี้ ธปท.ยังไม่เห็นด้วย

“ยกตัวอย่าง รัฐบาลเมื่อกู้หนี้ประชาชน ปกติเราออกมาปีละ 1 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่วงเงินดังกล่าวไม่สามารถไปถึงผู้ที่มีเงินฝาก 1-2 หมื่นบาทได้ ฉะนั้น เราจึงทำให้มีสเตเบิลคอยน์ โดยจะทำให้การแลกเปลี่ยนบนแพลตฟอร์มได้ง่ายขึ้น ความหมาย คือ หากเป็นแม่ค้ามีเงินเก็บ สามารถไปซื้อพันธบัตรจากสเตเบิลคอยน์ ได้เลยแทนที่จะไปฝากเงินจากธนาคารแล้วได้ดอกเบี้ยต่ำ ไม่ได้เป็นเงินใหม่ที่รัฐบาลพิมพ์”

สำหรับการเดินหน้าแก้ไขหนี้ รัฐได้ดำเนินการแล้ว จากโครงการคุณสู้ เราช่วย ตอนนี้เข้ามาแล้ว 30% และคาดว่าทั้งหมดจะเข้ามา 50% อย่างไรก็ตาม หากดูหนี้ทั้งหมดมีอยู่ 13.6 ล้านล้านบาท จำนวน 5 ล้านคน ซึ่งเราจะไม่ซื้อหนี้ทั้งระบบ เพราะมีหนี้ไม่เสียปนอยู่ด้วย 6 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะดูเฉพาะหนี้เสียแล้ว และไม่ใช่หนี้เสียที่อยู่ระหว่างเจรจา มีหลักทรัพย์

“เราจะดูเฉพาะลูกหนี้มูลหนี้น้อย ไม่มีหลักทรัพย์ โดยมี 3 ล้านคน วงเงิน 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะซื้อหนี้เพื่อแก้ไขให้ท่าน โดยจะหาทางผ่อนปรนให้ลูกหนี้ โดยมีเงื่อนไขได้รับการผ่อนปรนเฉพาะกลุ่มนี้ และเมื่อหลุดจากหนี้แล้ว สามารถขอสินเชื่อแบงก์ได้ วันนี้เราได้ให้ออมสินนำร่อง ปล่อยกู้ประชาชนไม่มีเครดิต ตอนนี้มีคนเข้ามาแล้วกว่า 4.5 แสนบัญชี สูงกว่าคาดที่เตรียมไว้ 3 แสนบัญชี”

ส่วนเรื่องตลาดหุ้นนั้น เรื่องความได้เปรียบของนักลงทุนต่างประเทศต่อนักลงทุนไทย เราแก้ไขไปแล้ว 80-90% ด้านการเดินหน้าออกกฎหมายพ.ร.ก. ให้อำนาจคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตอนนี้อยู่ในชั้นทบทวน ทั้งกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

“การให้อำนาจจะเลือกเฉพาะกรณีที่มีปัญหาจริง ยกตัวอย่างสิ่งที่เกิดขึ้นใน 1-2 ปีที่ผ่านมา กรณีที่เงินหายไปเลยวันเดียว 4 พันล้านบาท เราดูออกแต่ไม่มีอำนาจสอบสวน หรือเจรจาได้ สิ่งเหล่านั้นจะเพิ่มอำนาจให้ และทำงานควบคู่หน่วยสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจ และสุดท้ายส่งฟ้องผ่านอัยการอยู่ดี”

ส่วนเรื่องพลังงานเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยอมรับว่าราคาพลังงานในบ้านเราค่อนข้างแพง สิ่งที่จะอยู่ในระดับที่เหมาะสม ราคาควรจะอยู่ที่ 3.50 บาทต่อหน่วย อย่างไรก็ตาม ไทยมีต้นทุนโรงไฟฟ้า บวกด้วยค่าเชื้อเพลิง แต่เรามีสมมติฐาน คือ เรามีโรงไฟฟ้าที่สร้างมาเกินอยู่ 15-16% ทำให้ค่าไฟแพง

“สุดท้ายการที่ค่าไฟฟ้าฟ้าจะราคาลดลงต้องเปลี่ยนโครงสร้างค่าไฟ จะเปลี่ยนเป็นชนิดที่ถูกลง ซึ่งไม่สามารถทำได้ทันที”

ด้านการลงทุนอุตสาหกรรม นับ 10 ล้านล้านบาท ในปีเดียวไม่ได้ ต้องพิจารณาว่าโครงสร้างเก่า เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมีนโยบายรักษาแพลตฟอร์มเดิมและปรับเป็นไฮบริดจ์ ในรถกะบะเพื่อการขนส่ง ขณะที่การท่องเที่ยว ยอมรับว่าจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง จะให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเยอะเหมือนเดิม ถือเป็นเรื่องที่ลำบาก

ทั้งนี้ สิ่งที่จะทำได้ คือ คนที่เข้ามาแล้ว จะต้องทำให้เขาอยู่ให้นานขึ้นได้หรือไม่ จากข้อมูลพบจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 35.5 ล้านคน พบว่ากว่า 3-5 ล้านคน เข้ามาเพื่อสาธารณสุข ถือเป็นนักท่องเที่ยวที่มีมูลค่า ซึ่งการที่จะทำให้อยู่นานต้องมีอะไรที่น่าอยู่จะต้องมีรายการต่างๆ เหล่านี้