เอกชน หวั่นนโยบาย “ทรัมป์” ฉุดส่งออกทรุด ผวาสินค้า “จีน” ถล่มไทย

สาหัส! “เอกชน” หวั่นนโยบาย “ทรัมป์” ฉุดส่งออกทรุด จับตาสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ทำต้นทุนไทยพุ่ง 10 เท่า แถมผวาสินค้า “จีน” ถล่มไทยไม่หยุด วอน ‘รัฐบาล’ ตั้งการ์ดด่วน

วันนี้ (5 มี.ค.68) นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร. มีความกังวลต่อการดำเนินนโยบายจัดเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมการส่งออกของไทย

โดยล่าสุดสหรัฐฯ มีการประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจาก 10% เป็น 25% และยกเลิกข้อยกเว้นรายประเทศ ข้อตกลงตามโควตา รวมทั้งยกเลิกการยกเว้นภาษีแบบรายสินค้า โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.68

จากนโยบายดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการไทยที่มีการส่งออกเหล็กและอลูมิเนียมไปยังสหรัฐฯ จะต้องแบกรับภาระภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6-8%

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอยู่ในภาวะน่ากังวล เนื่องจากสหรัฐฯ นำเข้ารถยนต์ถึง 267,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยไทยส่งออกไปสหรัฐฯ แบ่งเป็นรถเก๋ง 42,000 คัน และรถกระบะ 20 คัน

หากสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราภาษียานยนต์เพิ่มขึ้น 25% ส่งผลกระทบต่อต้นทุนภาษีของไทย เพราะไทยไม่ได้มีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหรัฐฯ ทำให้ปัจจุบันไทยส่งออกให้สหรัฐฯ เสียภาษีที่ 2.5% หากภาษีขึ้นสูงถึง 25% ต้นทุนเพิ่มขึ้น 10 เท่าตัว

ดังนั้น กกร. จึงเสนอขอให้ภาครัฐเร่งมีการบูรณาการข้อมูลการค้าในทุกมิติระหว่างไทยและสหรัฐฯ อาทิ ดุลการค้า ดุลภาคบริการและดิจิทัล ดุลภาคขนส่ง ดุลภาคการศึกษา เป็นต้น เพื่อนำมาวิเคราะห์กำหนดท่าทีร่วมกับภาคเอกชน ในการเจรจาการค้าระหว่าง 2 ประเทศ

รวมทั้งกำหนดยุทธศาสตร์ในการรับมือนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และผลกระทบจากสงครามการค้า เพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ประกอบการและสร้างโอกาสทางการค้าใหม่ๆ ลดการพึ่งพาตลาดเดิม

นอกจากนี้ ปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้ามาในประเทศไทย ภายหลังจากปี 2566 จีนส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง จึงหันการส่งออกสินค้ากลับมาที่อาเซียนจนกลายเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ซึ่งไทยเป็นประเทศที่นำเข้าสูง

โดยปี 2567 ไทยนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มขึ้น 12% มูลค่าสูงถึง 190,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 135,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจากสินค้าจีนที่เข้ามาในไทยมากขึ้น ตั้งแต่ปี 2566-2567 ทำให้อุตสาหกรรมไทยถึง 20 อุตสาหกรรมได้รับผลกระทบสูง

“ไทยต้องมีกฎหมายตั้งรับนโยบายเกี่ยวกับการส่งออก เช่น มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (Anti-Circumvention) หรือมาตรการอื่นๆ สนับสนุนให้ไทยไม่เสียเปรียบมากขึ้น”นายเกรียงไกรกล่าว

ทั้งนี้ ประเมินเศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณอ่อนแรงลง สะท้อนผ่านจีดีพีไตรมาส 4/2567 ที่ขยายตัวเพียง 3.2% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ราว 4.0% ส่งผลให้ทั้งปี 2567 จีดีพีขยายตัวเพียง 2.5% ต่ำกว่าระดับศักยภาพ

นายเกรียงไกรกล่าวว่า โดยสาเหตุหลักมาจากการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัว สวนทางกับการส่งออกที่ยังขยายตัวดี เป็นเพราะปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันรุนแรงจากสินค้าต่างประเทศในหลายอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น รถยนต์ เคมีภัณฑ์ ยางและพลาสติก อิเล็กทรอนิกส์ วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น

นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยปี 2568 เผชิญความเสี่ยงสูง สำนักวิจัยในต่างประเทศปรับลดประมาณการจีดีพีไทยลงเหลือ 2.6% จากเดิมอยู่ที่ 2.7% ท่ามกลางความเสี่ยงจากนโยบายการค้า และแรงกดดันต่อภาคการผลิตที่จะยังมีต่อเนื่อง ส่วนอุปสงค์ภายในประเทศยังเปราะบาง สอดคล้องกับมุมมองของธนาคารแห่งประเทศไทยที่นำไปสู่การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

ทั้งนี้ มาตรการเพิ่มเติมเพื่อลดผลกระทบและประคองการเติบโตทั้งในระยะสั้นและระยะยาวมีความจำเป็น โดยเฉพาะการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าโลก การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ การลดต้นทุนผู้ประกอบการ และการยกระดับภาคการผลิตให้แข่งขันได้ในระยะยาว