ส่องจุดเดือดเลือกตั้งมะกัน ชี้ทิศเศรษฐกิจโลก สะเทือนธุรกิจไทย

“ดร.กอบศักดิ์” คาดไทย “พ้นพงหนาม” ลุ้นปี’68 จีดีพีฟื้นแตะ 3% จับตาเสี่ยงเลือกตั้งสหรัฐฯ “ทรัมป์-กมลา” ชี้ทิศเศรษฐกิจโลก สะเทือนธุรกิจไทย

วันนี้ (28 ต.ค.67) นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ เลขานุการบริษัทและกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยช่วงที่เหลือของปี 67 และปี 68 ว่า เศรษฐกิจโดยรวมเบาใจขึ้น เรียกว่าพ้นพงหนาม มองว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) เติบโตอยู่ที่ 3% (+/-) ขณะเดียวกัน ปี 67 คาดว่าจีดีพีขยายตัวได้ต่ำกว่า 3% เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วม ขณะนี้ทยอยฟื้นจากน้ำแล้ว


ข่าวน่าสนใจอื่น


สำหรับปัจจัยสนับสนุนไตรมาส 4/67 ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ต่อเนื่องไปถึงปี 68 มี 4 เรื่องเป็นเครื่องยนต์ที่กลับมาดีขึ้น อาทิ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่มีการลงทุนต่อเนื่อง ภาคการส่งออกยังไปได้

ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวดีขึ้น หลังจากจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยถึง 4 ล้านคนต่อเดือน คาดว่าปีนี้นักท่องเที่ยวจะมากถึง 36 ล้านคน หลังจากนั้นภาครัฐบาลจะเข้ามาช่วยเต็มที่จากการสนับสนุนนโยบายต่างๆ โดย 4 เครื่องยนต์ ทำให้จีดีพีโต 3%

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ เลขานุการบริษัทและกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ

นอกจากนี้ มีประเด็นที่กังวลใจอยู่ 3 เรื่อง คือ 1.การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ โดยจะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย.67 ที่มีผลต่อการดำเนินเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องนโยบายรัฐบาล ซึ่งยังไม่แน่ใจจะเกิดอะไรขึ้น

2.เศรษฐกิจประเทศจีนอ่อนแอลง เช่น การนำเข้าโตแค่ 0.3% สะท้อนว่าไม่มีกำลังซื้อ นอกจากนี้ ราคาอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำ 6-7% ถ้าเศรษฐกิจดีราคาจะขึ้น ดังนั้น สะท้อนว่าเศรษฐกิจจีนยังไม่ดูดี และ 3.ภาวะสงครามที่ขยายตัวขึ้นในทั่วโลก

“ส่วนปัจจัยเสี่ยงของประเทศไทยเรื่องหนี้ครัวเรือนน่ากังวลใจสุดๆ ตอนนี้เริ่มเห็นเกิดหนี้จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) ในกลุ่มรถยนต์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 16% เป็นหนี้เริ่มจ่ายไม่ได้ สะท้อนปัญหาของประชาชนถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น”นายกอบศักดิ์กล่าว

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ปัจจัยต้องจับตาเป็นสำคัญคือวันที่ 5 พ.ย.67 จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รอดูผลการเลือกตั้ง เพราะเป็นโค้งสำคัญ ระหว่าง 2 คน คือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศไว้ว่าหากได้รับชัยชนะสงครามยูเครนต้องจบ รวมถึงประเทศในภาคตะวันออกอยากให้เรื่องสงครามจบเช่นกัน

ขณะเดียวกัน นายวลาดีมีร์ ปูติน โดยกมลา แฮร์ริส สามารถพูดคุยประเด็นนี้ได้ เพราะไม่ใช่ผู้เริ่มสงคราม โอกาสคลี่คลายจะมากขึ้น สิ่งที่จะมาขัดขวางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะน้อยลง สำหรับเรื่องสงครามเป็นเรื่องสำคัญสำหรับประเทศไทย เพราะธุรกิจเมื่อเกิดสงครามเป็นเรื่องหนักใจ

ดังนั้น นักธุรกิจจะมองว่าหากเศรษฐกิจจะฟื้นต้องเริ่มลงทุนตั้งแต่วันนี้ เศรษฐกิจไม่ต้องรอให้ฟื้นแล้วลงทุน แต่ต้องลงทุนก่อนเศรษฐกิจจะฟื้น หากลงทุนตอนเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วจะไม่ทัน

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า เมื่อทิศทางสงบลง ผลต่อมาจะเป็นเรื่องดอกเบี้ยลดลง ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ประเทศไทยต้องมีการเตรียมการณ์รองรับสิ่งต่างๆ จะเกิดขึ้น แม้สงครามไม่เกิด แต่ความขัดแย้งกับประเทศจีนยังเดินหน้าต่อเนื่อง

โดยเฉพาะสงครามทางการค้า หากเป็นกมลา แฮร์ริส สงครามการค้าจะไม่รุนแรง แต่ถ้าเป็นทรัมป์ ชัดเจนว่าจะมีการเรียกเก็บภาษี 100% และทำกฎหมายกีดกันมากขึ้น ทำให้นักลงทุนจากที่ต่างๆ และจีนอยากจะมาลงทุนที่ไทย ดังนั้น เป็นอานิสงส์ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว

“หากเป็นทรัมป์ สงครามการค้าจะมากขึ้นแต่จะดีกับเรา เพราะถ้ามีสงครามการค้านักลงทุนจะต้องหา third party อย่างเรา หากเป็นกมลา สงครามจะแรงขึ้น เมื่อเกิดสงครามการลงทุนชะลอลงมีผลต่อธุรกิจ ซึ่งทรัมป์ เป็นนักธุรกิจจะไม่ทำเรื่องสงคราม แต่สงครามการค้าทำแน่”นายกอบศักดิ์กล่าว