เปิด 5 วิกฤตเศรษฐกิจไทย ปัญหาที่รอการแก้ไข

เปิด 5 วิกฤตเศรษฐกิจไทย ปัญหาที่รอการแก้ไข จะเดินออกจากวิกฤตนี้ได้อย่างไร

คอลัมน์ : ห้อยหัววิเคราะห์ข่าว

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงและต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วนจากรัฐบาลปัจจุบัน หลายๆ วิกฤตมีการเกี่ยวพันกัน ส่งผลกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง จีดีพีที่โตเพียง 2.5% ในปี 2567 และคาดการณ์ที่ 2.8% ในปีนี้ ปัญหาหลายๆ อย่างเป็นปัญหาโครงสร้างที่ควรได้รับการแก้ไขจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่องก่อนที่ปัญหาดังกล่าวจะฝังรากลึกลงไปกว่านี้จนยากที่จะเยียวยา

วิกฤตหนี้ครัวเรือน

ปัจจุบัน หนี้ครัวเรือนที่สูงลิ่วกลายเป็นปัญหาสำคัญของรัฐบาลที่ต้องการการแก้ไขโดยเร็ว โดยพบว่าในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ครัวเรือนไทยมีหนี้รวมจำนวนทั้งสิ้น 16.3 ล้านล้านบาท ขยายตัว 0.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีหนี้เสียหรือ NPLs (Non-performing Loans) รวม 1.2 ล้านล้านบาท คิดเป็น 8.78% ต่อสินเชื่อรวม จากสภาพเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ประชาชนมีความสามารถในการชำระหนี้ลดลง และจำนวนหนี้เสียที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้สถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์ชะลอการปล่อยสินเชื่อใหม่ ทำให้ความสามารถในการจับจ่ายของประชาชนลดน้อยลง เกิดภาวะเงินฝืดในตลาดและส่งผลกระทบในทางลบต่อเศรษฐกิจโดยรวม

อย่างไรก็ตาม นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและบิดาของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน น.ส. แพทองธาร ชินวัตร ได้มีแนวคิดในการซื้อหนี้เสียหรือ NPLs ของประชาชนออกจากระบบธนาคารเพื่อปลดแบล็กลิสต์ในเครดิตบูโร จากนั้นจึงให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อนโดยไม่จำเป็นต้องชำระเต็มจำนวน เพื่อให้พวกเขาได้เริ่มต้นทำมาหากินกันใหม่เหมือนคนที่ไม่มีภาระหนี้สิน

อย่างไรก็ตาม แนวคิดดังกล่าวอาจเป็นการสร้างพฤติกรรมที่ไม่ดีให้แก่ประชาชน ประชาชนจะมีพฤติกรรมและวินัยทางการเงินที่เปลี่ยนไปเพราะรู้ว่าจะมีคนอื่นมารับผิดชอบแทน เราจะกู้เงินหรือใช้เงินโดยไม่รับผิดชอบ จะเปลี่ยนคนจากคนที่ยืนด้วยตนเองเป็นคนที่รอความช่วยเหลือตลอดเวลา แนวคิดดังกล่าวยังขาดการจัดการที่เป็นระบบ เช่นรัฐบาลจะเอางบประมาณที่ไหนที่จะมาสนับสนุนการซื้อหนี้ของประชาชนจำนวนมหาศาล

ในกรณีที่จะให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนในแนวคิดซื้อหนี้ของประชาชนออกจากระบบ มันจะแตกต่างกันหรือไม่อย่างไรกับการที่ธนาคารพาณิชย์แบกรับความเสี่ยงและบริหารหนี้ของประชาชนอยู่ในปัจจุบัน และเอกชนที่มาลงทุนจะกล้าแบกความเสี่ยงจากภาระหนี้เสียหากประชาชนไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวได้ตามกำหนด แนวคิดการซื้อหนี้ของประชาชนออกจากระบบธนาคารจึงอาจเป็นแค่เพียง “ความฝัน” ที่ไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ ในขณะที่ “ความไม่เป็นหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ” น่าจะเป็นแนวทางที่ประชาชนยึดถือในการดำเนินชีวิตที่มีความสุข ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9

วิกฤตความเชื่อมั่นผู้บริโภค

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกุมภาพันธ์ลดครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอหารค้าไทย เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมันของผู้บริโภคเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568 อยู่ที่ระดับ 57.8 ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า จากนโยบาย Trump 2.0 ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ของไทยและทั่วโลกปรับตัวลดลง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผู้บริโภคกลับรู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้า ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวมอยู่ที่ 51.5 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานอยู่ที่ 55.2 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 66.7 โดยดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวลดลงทุกรายการเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนเช่นกัน

เพื่อสร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภค ประชาชนต้องการเห็นรัฐบาลเร่งสานต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่สามารถจับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนโยบายระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ผ่านการประสานงานอย่างบูรณาการจากผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่บริหารระดับกระทรวง ภาคเอกชนในแต่ละภาคอุตสาหกรรม ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิชาการ เนื่องจากหลายๆ อุตสาหกรรมต้องการการแก้ไขปรับเปลี่ยนในระดับโครงสร้างเพื่อความอยู่รอดและเติบโตในระยะยาว โดยรัฐบาลควรเร่งสร้างงานสร้างรายได้ให้กับผู้บริโภคให้พวกเขาสามารถยืนได้ด้วยตนเองและสามารถจับจ่ายใช้สอยได้อย่างยั่งยืน ดีกว่าการแจกเงินโดยปัญหาทางเศรษฐกิจต่างๆ ไม่ได้ถูกแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม

วิกฤตการว่างงาน

สภาพัฒน์เปิดเผยตัวเลขการว่างงานล่าสุดที่ 3.6 แสนคนในไตรมาส 4 ปี 2567 เพิ่มขึ้น  8.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักศึกษาจบใหม่อายุ 20-24 ปี โดยสาเหตุหลักมาจากเศรษฐกิจชะลอตัว บริษัทลดการจ้างงาน และแรงงานต่างชาติแย่งโอกาสในการทำงาน ผู้ว่างงานกว่า 1.68 แสนคนไม่เคยมีงานทำมาก่อนในขณะที่ผู้มีประสบการณ์การทำงานมาแล้วก็ยังเผชิญปัญหา โดยแรงงานภาคบริการและการค้าได้รับผลกระทบหนักสุดตามด้วยภาคการผลิตและเกษตรกรรม ในขณะที่แรงงานต่างด้าวที่ถูกต้องตามกฎหมายมีจำนวนเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบปีแตะ 3.35 ล้านคน นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างผลกระทบให้ตลาดแรงงานไทย

วิกฤตการณ์การว่างงานในตลาดแรงงานไทยเป็นผลสะท้อนอย่างเป็นรูปธรรมให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในอุตสาหกรรมการผลิตที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่น AI หรือหุ่นยนต์ ที่เข้ามาทดแทนแรงงานมนุษย์ พัฒนาการของสินค้าไปสู่เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้สินค้าปัจจุบันตกรุ่นนำไปสู่อุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงขาลงหรืออุตสาหกรรมตะวันตกดิน (Sunset Industry) และมียอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง ธนาคารปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อใหม่ทำให้บริษัทต่างๆ ขาดสภาพคล่องจนต้องลดขนาดธุรกิจ ลดจำนวนพนักงานและปฏิเสธการรับพนักงานใหม่

ปัญหาดังกล่าวจึงต้องได้รับการแก้ไขในระดับโครงสร้างโดยประเทศไทยควรออกจากกับดักการเป็นประเทศที่รับจ้างผลิตหรือ Original Equipment Manufacturer (OEM) ที่อาศัยต้นทุนต่ำ แรงงานไทยควรได้รับการพัฒนาทักษะเพื่อรองรับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ หลีกหนีจากการเป็นแรงงานราคาถูก โดยผ่านความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาคอุตสาหกรรมการผลิต หน่วยงานภาครัฐ และสถาบันการศึกษา ระบบการศึกษาไทยควรพัฒนาหลักสูตรโดยเล็งเห็นถึงความต้องการและการเปลี่ยนแปลงทางภูมิทัศน์ของตลาดแรงงานเป็นสำคัญ

วิกฤตอุยกูร์

การส่ง 40 ชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ด้านมนุษยชนอย่างรุนแรงแก่ประเทศไทย อันอาจนำมาซึ่งปัญหาการก่อการร้ายในประเทศไทยได้ ดูจากการที่หลายๆ ประเทศ ได้ประกาศเตือนประชาชนของตนเองไม่ให้มาท่องเที่ยวหรือให้ระมัดระวังอันตรายจากการก่อการร้ายในการเดินทางมายังประเทศไทย นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังได้ตอบโต้ไทยโดยกายจำกัดวีซ่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยที่เกี่ยวข้องกับการส่งอุยกูร์ 40 คน กลับจีนโดยอ้างว่าการกระทำดังกล่าวขัดต่อสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงเนื่องจากชาวอุยกูร์เหล่านั้นต้องเผชิญกับการทรมานและการบังคับให้สูญหายจากการที่จีนกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติกับชาวอุยกูร์มาเป็นเวลานาน วิกฤตการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องและผู้ประกอบการต่างๆ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน

วิกฤตการค้าโลก

ประเทศไทยอยู่ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ สหรัฐอเมริกา นำโดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และประเทศจีน นอกจากนี้ อเมริกายังมีแนวโน้มที่จะขึ้นกำแพงภาษีต่อสินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทย เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายที่ได้เปรียบดุลการค้าอเมริกา มาตรการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกที่จะต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น หรืออาจต้องเสาะหาตลาดใหม่ๆ เป็นการทดแทน นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังคงต้องเผชิญกับสินค้าราคาถูกจากประเทศจีนที่จะต้องบุกเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ เช่นเดียวกัน

วิกฤตการณ์ดังกล่าวเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วน โดยภาคเอกชนนำโดยหอการค้าไทย ได้เสนอแนะให้รัฐบาลจัดตั้งทีมพิเศษ ประกอบด้วยตัวแทนรัฐบาลที่มีอำนาจสั่งการในระดับกระทรวง และตัวแทนภาคเอกชน ในการศึกษามาตรการเพื่อรองรับกับปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งหมดนี้เป็นสภาวะวิกฤตที่ประเทศไทยกำลังประสบและเป็นปัญหาที่ต้องการได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วนจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาในระดับรากเหง้านี้ควรได้รับการบูรณาการจากผู้เกี่ยวข้องรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจเอกชนและภาคนักวิชาการ นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรแสดงให้เห็นถึงทิศทางที่ชัดเจนในการนำพาประเทศไปสู่จุดหมายที่วางไว้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดแก่ภาคธุรกิจและภาคประชาชน

ผู้เขียน : ดร.ขวัญชัย รุ่งฟ้าไพศาล อดีตบรรณาธิการ โต๊ะข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมากว่า 30 ปี