
จากสถานการณ์ตลาดทองคำเช้านี้ (23 เม.ย.68) ณ เวลา 11.03 น. ทองปรับ 15 ครั้ง ราคาร่วงหนัก 1,400 บาท ทองแท่ง ขายออก 53,050 บาทต่อบาททองคำ รูปพรรณ ขายออก 53,850 บาทต่อบาททองคำ
วันนี้ (23 เม.ย.68) รายงานจาก บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด (MTS Gold) วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค ว่า ราคาทองคำเข้าสู่ช่วงของการปรับฐานสมบูรณ์เป็นครั้งที่ 2 โดยราคาทองคำร่วงลงมากว่า 150 เหรียญ โดยราคาทองคำลงมาทดสอบ Fibonacci retracement ที่ระดับ 23.6% ที่บริเวณ 3,360 เหรียญ
ถ้าภายใน 2 วันนี้ ราคาทองคำไม่หลุดจุดต่ำสุดที่ระดับ 3,320 เหรียญ จะเป็นการกลับตัวและปิด GAP ซึ่งอาจจะเป็น Exhaustion Gap ซึ่งบ่งบอกว่าการปรับฐานอาจจะสิ้นสุดลง
สำหรับในระยะสั้นดูเหมือนจะมีการกลับทิศทางได้ สำหรับวันนี้คาดว่าราคาทองคำจะมีแนวรับที่ระดับ 3,320 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 3,420 เหรียญ
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้ซื้อขายในกรอบระยะสั้น ตามแนวโน้ม “Sideways” ระมัดระวังแรงขายทำกำไรที่อาจเกิดขึ้นในช่วงนี้ และหลีกเลี่ยงการใช้ leverage มากเกินไป เนื่องจากราคาอาจมีความผันผวน

สำหรับปัจจัยทำให้ราคาทองผันผวน สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ได้แสดงความเชื่อมั่นว่าความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะคลี่คลายลงในไม่ช้า
กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าขายออก 11.47 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 947.7 ตัน ภาพรวมเดือนเม.ย. ซื้อสุทธิ 15.76 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. – ปัจจุบัน ซื้อสุทธิ 75.18 ตัน
นักวิเคราะห์จากบริษัท RJO Futures กล่าวว่า การแสดงความเห็นของรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เป็นการส่งสัญญาณว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มคลี่คลายลง และทำให้นักลงทุนชะลอการซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
โดยรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เบสเซนต์ กล่าวว่า ความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะคลี่คลายลงในไม่ช้า และเขาเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์ดังกล่าวคลี่คลายลงก็จะช่วยผ่อนคลายความวิตกกังวลให้กับตลาดทั่วโลก

เบสเซนต์ยืนยันว่า แม้สหรัฐฯ จะเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนขึ้นเป็น 145% และจีนจะตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ระดับ 125% แต่เป้าหมายนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ใช่การแบ่งแยกเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจีนออกจากกัน
นอกจากนี้ แม้การเจรจากับจีนมีแนวโน้มว่าจะยืดเยื้อ แต่ทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างก็ไม่คิดว่าจะปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ความเห็นดังกล่าว ช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า และยังลดผลกระทบจากข่าวลบที่ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่จะปลดเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หากไม่เร่งลดดอกเบี้ย ซึ่งท่าทีดังกล่าวสร้างความกังวลว่าความเป็นอิสระของเฟดอาจถูกกระทบ
ด้านประธานาธิบดีทรัมป์แถลงต่อสื่อเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า “ไม่มีความตั้งใจ” ที่จะปลดนายเจอโรม พาวเวล แม้ก่อนหน้านี้เขาจะวิจารณ์เรื่องการลดดอกเบี้ยที่ล่าช้า และเรียกร้องให้ลดทันที โดยอ้างว่าเป็น ‘เวลาที่เหมาะสม’ ก็ตาม