
วันนี้ (11 เม.ย.68) นายวรุต รุ่งขํา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด เปิดเผยว่า จากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ซึ่งสหรัฐฯ ได้เปิดศึกทุกด้าน ไม่หวั่นแม้กระทั่งพันธมิตรเดิม เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น อังกฤษ เป็นต้น ภาพดังกล่าวทำให้ราคาทองที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยปรับตัวขึ้นค่อนข้างดี
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาบดีสหรัฐฯ ประกาศทำสงครามการค้ายกที่ 1 ประเมินแล้วสหรัฐฯ แพ้ไม่เป็นท่า เนื่องจากมีการเลื่อนเก็บภาษีออกไปอีก 90 วัน แม้จะเดินหน้าขึ้นภาษีกับประเทศจีน แต่สิ่งที่นักลงทุนประเมิน สหรัฐฯ ยอมถอย แม้หลายประเทศได้ติดต่อขอเจรจาเรื่องภาษี
“สิ่งที่ทำให้สหรัฐฯ ยอมถอยคือมีสัญญาณเตือนถึงหายนะทางเศรษฐกิจ เช่น หลายชาติขายพันธบัตรสหรัฐฯ จนอัตราผลตอบแทนพุ่งขึ้น นักลงทุนไม่กล้าถือครองพันธบัตรรัฐบาล จนถูกรัฐบาลออกมาค้ำประกัน ญี่ปุ่นชะลอการซื้อพันธบัตร และมีการขายจำนวนมาก ขณะที่ตลาดหุ้นชะลอตัวลง และดอลลาร์สหรัฐฯ ร่วงลงหลุด 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ” นายวรุตกล่าว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การค้ารุนแรง ทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง เช่น พันธบัตร ตลาดหุ้น และโยกเม็ดเงินลงทุนมาที่ทองคำอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ ทองคำตลาดโลกทำระดับสูงใหม่เป็นประวัติการณ์ 3,200 เหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์ สำหรับทองไทย เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่า จึงทำให้ราคาทองคำเช้านี้ ทองแท่งขายออกที่ 51,250 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งราคาขึ้นมาชนเทียบเท่ากับวันที่ 3 เม.ย.68
“จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเกิดภาวะถดถอย มองว่าเป็นปัจจัยบวกหนุนราคาทองคำปรับต่อขึ้นได้ แต่ราคาปรับขึ้นเร็วและแรงมาก จึงต้องระวังแรงขายทำกำไรระยะสั้น หากราคาทองย่อตัวลงเป็นไปอย่างจำกัด มีแนวรับ 3,167-3,155 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนทองไทย 50,500-50,350 บาทต่อบาททองคำ ระยะสั้นหากทองไม่ย่อตัวในระดับดังกล่าว อาจติดแนวต้านที่ 3,260 เหรียญสหรัฐฯ หรือทองไทย 52,050 บาทต่อบาททองคำ”นายวรุตกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันเสาร์ 12 เม.ย.68 สมาคมค้าทองคำประกาศราคาทองไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยทองคำแท่งรับซื้อที่บาทละ 51,100 บาทต่อบาททองคำ ขายออกบาทละ 51,200 บาทต่อบาททองคำ ขณะที่ราคาทองคำรูปพรรณ รับซื้อบาท 50,179.60 บาท และขายออกบาทละ 52,000 บาท