วันนี้ (16 ธ.ค.67) น.ส.ลลิตา เธียรประสิทธิ์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 18 ธ.ค.67 นี้ คาดว่า กนง.มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.25% มติไม่เป็นเอกฉันท์ หลังจากในการประชุมเดือนต.ค.ที่ผ่านมา กนง. มีมติปรับลดดอกเบี้ยที่ 0.25% ไปแล้ว
ซึ่ง กนง.มองว่าการปรับลดดอกเบี้ยดังกล่าวจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เป็นกลางและสอดคล้องกับความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพการเงิน
ข่าวน่าสนใจอื่น
ดังนั้น เนื่องจากภาพความเสี่ยงต่างๆ ในปัจจุบันไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมเท่าใดนัก ประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/67 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากฤดูกาลท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ
“ส่งผลให้กนง. มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับเดิมในการประชุมกนง. วันที่ 18 ธ.ค.นี้”น.ส.ลลิตากล่าว
ขณะที่ปี 68 มีความเป็นไปได้ที่ กนง.อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอีกราว 2 ครั้ง เนื่องจากความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในปีหน้ามีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศต่างๆ รวมถึงไทย
ประกอบกับแนวโน้มที่สินค้าไทยอาจเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้นจากการเข้ามาตีตลาดของสินค้าจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อไปยังผู้ประกอบการของไทย ขณะที่ทิศทางเงินเฟ้อในปี 68 ยังมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำกว่าเป้าหมายของ กนง. ที่ 1-3%
ทั้งนี้ ทิศทางนโยบายการเงินของ กนง.ในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะจังหวะและขนาดในการปรับลดดอกเบี้ยยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยคงขึ้นอยู่กับข้อมูลด้านเศรษฐกิจ เงินเฟ้อและเสถียรภาพทางการเงินที่ออกมาระหว่างทางเป็นสำคัญ
น.ส.รุ่ง สงวนเรือง ฝ่ายส่งเสริมธุรกิจโกลบอลมาร์เก็ตส์ กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คาดว่า กนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% ในการประชุมวันที่ 18 ธ.ค.67 เพื่อรอประเมินผลของการลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อเดือนต.ค.67 รวมถึงผลกระทบจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และเก็บกระสุนไว้สำหรับระยะข้างหน้า
“มองว่ากนง.อาจปรับลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 2.00% ในเดือนก.พ.68”น.ส.รุ่งกล่าว
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) เปิดเผยรายงานว่า ประเมินการประชุม กนง.ในวันที่ 18 ธ.ค.67 จะลดดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.25% สู่ 2.00% เนื่องจาก 1.โมเมนตัมเงินเฟ้อที่ชะลอลงกว่าคาดมาก 2.ภาวะทางการเงินที่ตึงตัวต่อเนื่อง (ค่าเงินแข็งค่า สินเชื่อหดตัวในรอบ 14 ปี หนี้เสีย (เอ็นพีแอล) และสินเชื่อที่ต้องระมัดระวัง (เอสเอ็ม) เพิ่มขึ้น) และการปล่อยสินเชื่อยากขึ้น
และ 3.มุมมองของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่สนับสนุนการลดดอกเบี้ย ท่ามกลางข้อเสนอให้รัฐบาลเริ่มลดทอนมาตรการการคลังผ่อนคลาย