นโยบายภาษี! ของ “ทรัมป์” จุดไฟสงครามการค้าโลกรอบใหม่?

ผู้ประกอบการไทยต้องรีบปรับตัวรองรับวิกฤตการณ์สินค้าราคาถูกทะลักจากจีน ผลพวงจากนโยบายภาษี! ของ “ทรัมป์” ที่กำลังจุดไฟสงครามการค้าโลกรอบใหม่?

คอลัมน์ : ห้อยหัววิเคราะห์ข่าว

ห้ามกระพริบตา! เพราะนี่คือช่วงเวลาของสงครามปากท้อง สงครามการค้า ที่มีแรงสั่นสะเทือนหลายริกเตอร์

หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา จบลง! ความสั่นสะเทือนทางการค้าของประเทศต่างๆ ก็เกิดขึ้นทันที รวมทั้งประเทศไทย!!!

เมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้ขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐเป็นเทอมที่ 2 ใช้นโยบายแข็งกร้าวในการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศด้วยการกำหนดกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าที่สูงลิ่วโดยเฉลี่ย 20% และอาจสูงถึง 50% ในบางกรณี จากอัตราภาษีศุลกากรในปัจจุบันที่ประมาณ 5% โดยทรัมป์มองว่าการเพิ่มกำแพงภาษีนำเข้าที่สูงนั้นจะช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมภายในประเทศและลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม การตั้งกำแพงภาษียังถือเป็นเครื่องมือหลักในการเจรจาต่อรองทางการค้ากับประเทศคู่แข่ง อีกทั้งเป็นอาวุธของอเมริกาในการข่มขู่และตอบโต้ประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ทั้งทางด้านการค้าและความมั่นคงอีกด้วย

จากนโยบายดังกล่าว เห็นได้ว่าทรัมป์ได้หันหลังให้กับการค้าเสรีอย่างสิ้นเชิงโดยหันไปใช้ลัทธิกีดกันทางการค้าแทน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกาถือเป็นประเทศผู้นำในการส่งเสริมการค้าเสรีผ่านการเจรจาการค้าเสรีใรกรอบของ General Agreement on Tariffs and Trade ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็นองค์การค้าโลก หรือ World Trade Organization โดยมีแนวคิดที่ว่าการเคลื่อนไหวทางการค้าในตลาดโลกจะทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตยิ่งขึ้น ทั้งนี้ อเมริกาถือเป็นตลาดการบริโภคที่สำคัญของโลกโดยมีสินค้าหรืออุตสาหกรรมที่มีความโดดเด่น ได้แก่อาวุธ สินค้าเทคโนโลยีจากซิลิคอนวัลเลย์ และพลังงานน้ำมัน

สหรัฐอเมริกาเคยก่อสงครามทางการค้ากับจีนตั้งแต่ครั้งเมื่อ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีในเทอมแรกโดยการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าที่สูงลิ่ว โดยจีนได้มีการตอบโต้ด้วยอัตราภาษีที่เหนือกว่า นอกจากนี้ จีนยังหันไปยังตลาดส่งออกใหม่ๆ เพื่อทดแทนสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย ตะวันออกกลาง หรือลาตินอเมริกา รวมถึงการจัดตั้งกลุ่ม BRICS ที่ประกอบด้วยสมาชิก 10 กว่าประเทศ ประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้ อียิปต์ เอธิโอเปีย อิหร่าน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น

ซึ่งถือเป็นกลุ่มเกิดใหม่ทางเศรษฐกิจ โดยสินค้าเด่น ๆ ของจีนที่มีการผลิตและส่งออกตีตลาดทั่วโลก ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า สินค้าอิเลคโทรนิกส์ และสินค้าเกษตร โดยจีนใช้ทั้งกลยุทธ์การแข่งขันทั้งราคาที่ถูกและคุณภาพที่ค่อนข้างดี ไม่เพียงแต่ประเทศขนาดใหญ่ที่มีอำนาจทางการตลาดและการค้าโลกอย่างประเทศจีนที่จะต้องปรับตัวและกลยุทธ์ทางการค้าเพื่อต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงที่นำมาสู่สงครามการค้าโลกระลอกใหม่ ประเทศขนาดเล็กและขนาดกลางอย่างสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย ก็จำต้องปรับตัวขนานใหญ่เพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าวด้วยเช่นกัน

ดร.ทอย อัครินทร์ เทพประสิทธิ์ กรรมการบริหาร บริษัทเอ็มวีพี คอนซัลท์แทนท์ จำกัด ที่ปรึกษาด้านการวางกลยุทธ์ธุรกิจให้กับองค์กรภาครัฐและเอกชน ได้กล่าวว่า ทรัมป์เป็นนักธุรกิจ การแสดงท่าทีที่ขึงขัง ดูเอาจริงเอาจัง เป็นการกดดันจีนและหลายๆ ประเทศที่เป็นคู่กรณีทางการค้าและความมั่นคงกับสหรัฐอเมริกา เพื่อดันกลับมาให้เข้าร่วมเจรจาและสร้างดีลใหม่ที่อเมริกาจะได้เปรียบและยังกุมบังเหียนอำนาจได้

อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าครั้งนี้ส่อแววยืดเยื้อ และนโยบายที่แข็งกร้าวของทรัมป์จะใช้ได้เพียงบางส่วน เพราะทั้งโลกมีความเกี่ยวพันกันหมด ถึงแม้ว่าทรัมป์จะจัดการกับจีนได้อย่างที่บอก แต่ก็จะหนีซัพพลายเชนจากจีนไม่ได้ อเมริกาจะได้รับผลกระทบด้วยค่าครองชีพและการขาดแคลน มันจึงเป็นการชักคะเย่อยื้อกันไปมาของขั้วอำนาจ 2 ขั้ว หากแต่ผลของสงครามการค้าครั้งนี้จะเกิดกับประเทศเล็ก ๆ ที่เป็นกลางจะถูกบีบบังคับให้เลือกข้างมากขึ้นไม่ว่าจะจากจีนหรืออเมริกา

ศึกครั้งนี้จึงเป็นโจทย์ที่รัฐบาลประเทศเล็กต้องหาทางกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ประเทศไทยที่เน้นการท่องเที่ยวมาทดแทนขณะที่อุตสาหกรรมใหม่ยังไม่กระเตื้องจะหนักเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวน่าจะได้รับผลพวงที่จีนจะใช้เป็นเครื่องมือหรือกลไกในการกดดันขณะที่อเมริกาน่าจะกดดันไทยทุกทางผ่านการทูตและการมีข้อบังคับ ข้อกฎหมาย และสิทธิต่างๆ ถือเป็นเกมยากของไทย

การปรับตัวต้องเน้นเอาตัวให้รอด ประคอง และดูสถานการณ์ โดยหลังจากปีนี้เป็นต้นไป การตัดสินใจเพื่อการลงทุนทางธุรกิจ ควรเป็นการลงทุนเพื่อเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจไปเลย เช่น การเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ วิธีการทำเงิน พัฒนาสินค้าและบริการใหม่ที่ฉีกจากเดิม ขยายธุรกิจจากเดิมไปสู่ตัวใหม่ที่วิ่งไปเส้นทางอนาคตได้ เช่น ความยั่งยืน นวัตกรรม และเทคโนโลยี การลงทุนเพื่อขยายของเดิมที่เคยทำ เช่น ลงทุนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ปรับปรุงของเดิมแต่ไม่ทำอะไรใหม่ พวกนี้จะยังคงเสี่ยงการขาดทุน การลงทุนในธุรกิจเดิมจึงไม่ใช่ทางออก สิ่งนี้จะเจอกันถ้วนหน้า เชื่อว่าตลาดจะซึมไปสักพัก ทีนี้บรรดาหนี้สินที่มีจะกลับเข้ามากระทบให้เกิดผลกระทบวงกว้าง เกิดการปิดกิจการและตกงาน

แลรี่ เชา (Larry Chao) ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการของ Chao Group Limited บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการและเปลี่ยนแปลงองค์กร ได้กล่าวว่า คำขู่ของทรัมป์เกี่ยวกับการขึ้นภาษีนำเข้าโดยเฉพาะสินค้าจากประเทศจีนที่เข้าสู่สหรัฐอเมริกาก่อให้เกิดความกังวลใจสำหรับเจ้าของธุรกิจในประเทศไทย ทั้งผู้ผลิตและกระจายสินค้าภายในประเทศไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าเกษตร เนื่องจากพวกเขากลัวว่าจะมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางการหลั่งไหลของสินค้าจีนราคาถูกจากประเทศสหรัฐอเมริกาไปยังประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งจะนำไปสู่การแข่งขันตัดราคาและทำให้ผู้ผลิตไทยต้องปิดกิจการ หากแต่ผู้ผลิตไทยจะแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากประเทศจีนได้อย่างไร? การแข่งขันด้านราคาดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์เนื่องจากสินค้าจากประเทศจีนส่วนใหญ่มีราคาถูกกว่าสินค้าในประเทศไทยถึง 40-60% ความได้เปรียบของสินค้าจีนคือขนาดและความสามารถในการผลิตที่มากเกินความต้องการ ถึงแม้ว่าวิธีการแข่งขันจะขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ที่ขาย หากแต่พลวัตของอุตสาหกรรมและธรรมชาติของการแข่งขันทำให้ผู้ประกอบการจำต้องพิจารณาแนวคิดเหล่านี้

1.มุ่งเน้นที่ความแตกต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของคุณภาพและความหลากหลาย สินค้านำเข้าจากจีนมีราคาถูกเนื่องจากเป็นสินค้าโภคภัณฑ์และส่วนใหญ่จะมีคุณภาพต่ำและธรรมดา ในขอบเขตที่ผู้บริโภคต้องการสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการสินค้าที่มีคุณภาพและความหลากหลาย จึงถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการไทยจะต้องสื่อสารสิ่งเหล่านี้ให้ผู้บริโภคได้รับรู้ถึงคุณค่าของสินค้า

2.สื่อสารด้วยข้อความที่มีความหมายและตรงเป้าหมาย ผู้ผลิตชาวไทยควรรู้ถึงความต้องการและความปรารถนาของผู้บริโภคท้องถิ่นได้ดีกว่าผู้นำเข้าสินค้าและสามารถปรับแต่งข้อความเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของตนได้ทันท่วงทีเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อ ตลอดจนสามารถใช้สื่อสังคมและช่องทางการสื่อสารอื่นๆ รวมถึงกลไกส่งเสริมการตลาดที่เหมาะสม

3.นำเสนอบริการหลังการขาย ให้สิ่งที่ผู้บริโภคต้องการเพื่อสนับสนุนการขาย ยกตัวอย่างเช่น ให้การรับประกันหรือนโยบายแลกเปลี่ยนสินค้าที่ดียิ่งขึ้นเพื่อให้ความมั่นใจแก่ผู้บริโภค และให้บริการแก่ผู้บริโภคที่มีราคาแพงสำหรับผู้นำเข้าในการจัดหาและบริการในแบบเดียวกัน

4.สร้างความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการเก็บรักษาสั้นหรือใช้แรงงานหรือวัตถุดิบในท้องถิ่น ยกตัวอย่างเช่น นักท่องเที่ยวจีนที่หลั่งไหลเข้าห้างบิ๊กซีเพื่อซื้อสินค้าไทย สินค้าเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบเนื่องจากไม่สามารถหาได้ในประเทศจีนอย่างนั้นหรือ? ทำไมนักท่องเที่ยวจีนเหล่านั้นถึงซื้อสินค้าในประเทศไทยแทนที่จะซื้อในบ้านตนเอง? แน่นอนว่า สินค้าไทยที่เกิดและเติบโตในประเทศไทยได้ให้บางสิ่งแก่พวกเขาที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบโดยผู้ผลิตชาวจีน

5.มุ่งมั่นในการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อไป สร้างนวัตกรรมให้กับสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าและยกระดับสินค้าจากสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ ผู้ผลิตไทยยังจำเป็นต้องขยายตลาดทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศเพื่อหาโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากความสามารถและทักษะของตนเพื่อผลิตสินค้าที่ผู้บริโภคยินดีที่จะจ่าย ยิ่งผู้ผลิตไทยมีกำลังการผลิตสินค้าได้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งปลอดภัยจากผลกระทบของสินค้าราคาถูกที่นำเข้าจากประเทศจีน

ไม่ว่านโยบายทางภาษีของ “ทรัมป์” จะเป็นจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่คำขู่ และผลกระทบจะรุนแรงเพียงใด หากแต่เป็นความจำเป็นอย่างเร่งด่วนของผู้ประกอบการไทยในการเตรียมพร้อมและปรับตัวทุกรูปแบบต่อการเปลี่ยนแปลงและปัจจัยต่างๆ ที่ควบคุมไม่ได้ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยได้เข้าสู่ “สังคมแห่งความเสี่ยง” เต็มตัวที่ทุกคนจะต้องระมัดระวังภัยต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผู้เขียน : ดร.ขวัญชัย รุ่งฟ้าไพศาล อดีตบรรณาธิการ โต๊ะข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมากว่า 30 ปี