แบงก์ชาติ คงดอกเบี้ย 2.25% จับตาหนี้เสียเอสเอ็มอีพุ่ง

แบงก์ชาติ คงดอกเบี้ย 2.25% จับตาหนี้เสียเอสเอ็มอีพุ่ง หวังมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ออกฤทธิ์ช่วยลดภาระหนี้

วันนี้ (18 ธ.ค.67) นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 18 ธ.ค.67 คณะกรรมการฯ มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% ต่อปี

นายสักกะภพกล่าวว่า ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 67 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 2.7% และปี 68 อยู่ที่ 2.9% โดยได้รับแรงสนับสนุนต่อเนื่องจากการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชน รวมทั้งการส่งออกสินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์ และหมวดเครื่องจักรที่มีแนวโน้มดีขึ้นตามวัฏจักรสินค้าเทคโนโลยี


ข่าวน่าสนใจอื่น


ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 67 อยู่ที่ 0.4% และปี 68 อยู่ที่ 1.1% ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน อยู่ที่ 0.6% และปี 68 1% ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย

นายสักกะภพกล่าวว่า สถานการณ์สินเชื่อชะลอลงช่วงที่ผ่านมา จากความต้องการลงทุนในบางสาขาธุรกิจที่ลดลง การชำระคืนหนี้ที่กู้ยืมไปในช่วงวิกฤตโควิด-19 และความเสี่ยงด้านเครดิตที่อยู่ในระดับสูง อาทิ สินเชื่อของภาคท่องเที่ยวและบริการขยายตัวชะลอลงจากการชำระคืนหนี้และรายได้ที่เพิ่มขึ้น

จากข้อมูลพบสินเชื่อเอสเอ็มอี ติดลบ 3.2% ซึ่ง ธปท.พยายามเข้าไปดูสินเชื่อที่ปรับลดลงมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.ความต้องการกู้ (ดีมานด์) 2.การชำระคืนหนี้ และ 3.ความเสี่ยงของลูกหนี้ที่สูงขึ้น

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)

“สินเชื่อโตชะลอลงมาจากการชำระคืนหนี้สูง ช่วงโควิดมีการขอสภาพคล่อง มาตรการช่วยเหลือ ขณะนี้เมื่อมีรายได้ ลูกหนี้ทยอยคืนหนี้”นายสักกะภพกล่าว

นอกจากนี้ ธปท.ติดตามเรื่องคุณภาพสินเชื่อ (หนี้เสีย) ของกลุ่มเปราะบางที่ด้อยลง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง หรือสินเชื่อกลุ่มเอสเอ็มอี ยังอยู่ระดับสูงที่ 9.02%

และครัวเรือนที่รายได้ฟื้นตัวช้าและมีภาระหนี้สูงยังปรับเพิ่มขึ้น แบ่งเป็น 1.สินเชื่อที่อยู่อาศัย อยู่ที่ 4.6% 2.สินเชื่อรถยนต์ 2.3% 3.สินเชื่อบัตรเครดิต 3.8% 4.สินเชื่อส่วนบุคคล 3.7% และสินเชื่อรายย่อยรวม 4%

“ธปท.ติดตามดูกลุ่มเปราะบางมีปัญหาหนี้เสียส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือผ่านมาตรการแก้หนี้แล้ว แต่จากที่เห็นตัวเลขยังไม่มีการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด”นายสักกะภพกล่าว

นายสักกะภพกล่าวว่า การส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยหลังจากในการประชุม กนง.ครั้งที่ผ่านมา มีการลดอัตราดกเบี้ยลงที่ 0.25% โดยอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ 2.25% โดยการส่งผ่านการลดดอกเบี้ยช่วยลูกหนี้กลุ่มรายย่อย (MRR) ราว 61% รับการส่งผ่านมากกว่ากลุ่มรายใหญ่

นอกจากนี้ ผลของมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ของภาครัฐที่จะช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับกลุ่มเปราะบางอย่างตรงจุด 3 กลุ่ม อาทิ สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ และสินเชื่อรายย่อย (เอสเอ็มอี) ที่มีภาระหนี้สูง

เช่น กลุ่มสินเชื่อบ้าน อยู่ที่ 1.8 ล้านบาท การผ่อนชำระต่อเดือนอยู่ที่ 10,000 บาท เมื่อเข้ามาตรการจะลดเหลืออยู่ที่ 5,000 บาท โดยช่วง 3 ปี จะลดภาระการจ่ายได้ประมาณ 110,000 บาท

“กนง.จะติดตามมาตรการนี้ และพิจารณาว่าการดำเนินนโยบายการเงินควรจะทำหน้าที่อย่างไรในระยะต่อไป”นายสักกะภพกล่าว

นายสักกะภพกล่าวว่า หากมองไปข้างหน้าเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูงจากหลายปัจจัย เช่น ทิศทางนโยบายการค้าโลก ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และผลกระทบของคุณภาพสินเชื่อต่อภาวะการเงินและเศรษฐกิจโดยรวม เป็นต้น

ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน

“คณะกรรมการฯ เห็นว่าความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าปรับสูงขึ้น จึงจะติดตามพัฒนาการของแนวโน้มเศรษฐกิจการเงินและพิจารณานโยบายการเงินให้เหมาะสมต่อไป”นายสักกะภพกล่าว