
วันนี้ (9 เม.ย.68) รายงานจาก วิจัยกรุงศรี เปิดเผยว่า นโยบายภาษีตอบโต้ที่รุนแรงกว่าคาดของสหรัฐฯ ได้เพิ่มความเสี่ยงขาลง (Downside risk) ต่อการค้าและเศรษฐกิจโลก ขณะที่ผลต่อเศรษฐกิจไทยนั้น มาตรการตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยให้อ่อนแอลง
ซึ่งประเทศไทยนับเป็น 1 ในเกือบ 60 ประเทศที่สหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) โดยสินค้าของไทยจะถูกเก็บในอัตราที่ 36% สูงสุดเป็นอันดับ 5 ในอาเซียน รองจากกัมพูชา (49%) ลาว (48%) เวียดนาม (46%) และเมียนมาร์ (44%) มีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย.นี้
การถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ สูงเกินคาดที่ 36% อาจส่งผลให้การส่งออกไทยปีนี้ไม่เติบโต โดยในระยะสั้น มาตรการภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ อาจทำให้การส่งออกของไทยชะลอตัวลงอย่างมาก และเฉลี่ยทั้งปี 2568 อาจเติบโตใกล้ 0% หากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาลดภาษี
อุตสาหกรรมที่คาดว่าได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
- ผลกระทบสูง: อาหารทะเลแปรรูป ยางรถยนต์ ฮาร์ดดิสก์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และถุงมือยาง เนื่องจากสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าในอัตราต่ำสำหรับสินค้าไทยกลุ่มนี้ และสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย หากสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าอย่างมากจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อการส่งออกและการผลิตสินค้าเหล่านี้
- ผลกระทบปานกลาง: ยางพารา ข้าว รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องประดับ สิ่งทอและเสื้อผ้า พลาสติก อุปกรณ์การแพทย์อื่น ๆ และเหล็กและเหล็กกล้า แม้สหรัฐฯ จะยังเป็นตลาดหลักของสินค้าเหล่านี้ แต่ตลาดอื่น ๆ ก็มีสัดส่วนที่สำคัญ นอกจากนี้ ไทยเองก็ผลิตสินค้าเหล่านี้เพื่อใช้ในประเทศด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมข้างต้น โดยเฉพาะอาหารทะเลแปรรูป และยางรถยนต์ อาจส่งผลต่อเนื่องผ่านห่วงโซ่อุปทานการผลิต ซึ่งจะกระทบไปยังการผลิตสินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ส่งผลลบต่อการจ้างงาน รวมถึงกำลังซื้อโดยรวมของประเทศ
สำหรับผลกระทบในระยะปานกลาง-ระยะยาว อาจจะรุนแรงน้อยกว่าในระยะสั้น เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าใหม่ที่สหรัฐฯ กำหนดกับไทยยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญ
อาทิ จีน (54% คำนวณจากอัตราภาษีตอบโต้ 34% บวกกับอัตราภาษีที่สหรัฐฯจัดเก็บ 20% เมื่อต้นปี) และเวียดนาม (46%) ส่งผลให้การย้ายฐานการลงทุน และผลของการทดแทนการส่งออกสินค้า อาจส่งผลบวกในเชิงเปรียบเทียบต่อการส่งออก และการผลิตบางรายการของไทย
ส่งออกไทย -2.6% กระทบจีดีพี -0.11%
วิจัยกรุงศรี ระบุว่า จากการประเมินผลกระทบโดยอาศัยแบบจำลอง Global Trade Analysis Project (GTAP) พบว่า การขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ นี้ จะทำให้การส่งออก และ GDP ของไทยในระยะกลางถึงยาวลดลง -2.6% และ -0.11% ตามลำดับ
และเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนพบว่า GDP ของเวียดนาม และกัมพูชา จะลดลงมากกว่าไทย เนื่องจากถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงกว่า และมีการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯมากกว่า ขณะที่อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ จะได้รับผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าไทย
“ญี่ปุ่น” ระส่ำหนัก
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น เผชิญความไม่แน่นอนสูงขึ้น จากแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่อง และกระทบกับกำลังซื้อภายในประเทศ ด้านภาคการผลิตและส่งออกมีแนวโน้มซบเซา ภายใต้ความเสี่ยงสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น หลังสหรัฐฯประกาศขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ต่อคู่ค้าหลายประเทศ รวมถึงญี่ปุ่นที่ถูกเรียกเก็บสูงถึง 24% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 9 เมษายน ซึ่งจากผลการศึกษาของเรา พบว่าหากสหรัฐฯ จัดเก็บนำเข้าในอัตราดังกล่าว การส่งออกของญี่ปุ่นอาจลดลง -3.7% ในระยะกลาง-ยาว
“จีน” รับทั้งศึกใน-ศึกนอก
การขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ของสหรัฐฯ กับหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงจีน จะทำให้ GDP และการส่งออกของจีนในระยะกลางถึงยาวลดลง -0.04% และ -2.7% ตามลำดับ โดยจีนจะเผชิญกับผลกระทบ ทั้งทางตรงจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และทางอ้อม ผ่านประเทศที่เป็นฐานการผลิตให้กับจีน โดยเฉพาะอาเซียนซึ่งสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ในอัตราตั้งแต่ 10-49%
ขณะเดียวกันสงครามการค้า อาจยิ่งไปซ้ำเติมภาวะอุปทานส่วนเกินของจีน รวมถึงลดทอนประสิทธิผลของมาตรการกระตุ้นการบริโภค ที่จีนประกาศกรอบในภาพใหญ่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ในระยะอันใกล้ คาดว่า จีนจะเร่งประกาศรายละเอียดมาตรการผ่อนคลายทางการคลังและการเงินเพิ่มเติม เพื่อรับมือกับสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น